‘สวยงามสมวัย’ ความสุขของทุกช่วงชีวิต
“โดนทักว่าสวยขึ้น?!!” ไม่ว่าวัยไหนใครๆ ก็ชื่นอกชื่นใจ ใบหน้าบานอิ่มเอิบ เรื่องความสวยความงาม
โดย...ปอย ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน (พญ.นุสรา)
“โดนทักว่าสวยขึ้น?!!” ไม่ว่าวัยไหนใครๆ ก็ชื่นอกชื่นใจ ใบหน้าบานอิ่มเอิบ เรื่องความสวยความงามจึงเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะในวันที่วงการคลินิกความงามผุดเป็นดอกเห็ด สอดคล้องกับผู้คนก็มีกำลังจ่ายในเรื่องความสวยความงามกันมากขึ้น การเลือกทำศัลยกรรมหรือเดินเข้าคลินิกความงามซื้อคอร์สทรีตเมนต์ราคาหลายหมื่นบาท จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ และกลายเป็นเรื่องแฟชั่นในการเลือกสรรสิ่งดีที่สุดให้ตัวเอง
โสด
สวยแบบมีเอกลักษณ์
แทบไม่ต่างจากเทรนด์แฟชั่นการแต่งหน้า หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้ากันเลยทีเดียว อยากมีจมูกรูปหยดน้ำ รูปหน้าวีเชฟ ดวงตาเรียวเล็กแบบสาวเกาหลี ริมฝีปากเอิบอิ่มแบบดาราดัง กลายเป็นรูปลักษณ์ใหม่ในฝันของสาวๆ ที่วันนี้แห่หันไปพึ่งพา “ศัลยกรรม” เพื่อช่วยเนรมิตความงามให้ได้ดั่งใจ จนเป็นเทรนด์แฟชั่นสุดฮิตให้สาวๆ ก๊อบปี้มาเสริมเติมแต่งความงามกันอย่างคึกคัก
นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย แนะนำหนุ่มๆ สาวๆ ที่สนใจอัพใบหน้าใหม่ว่า สาวไทยนิยมทำศัลยกรรมความงามมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเสริมจมูกยังคงได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่สาวไทย รองลงมาคือ การทำตาสองชั้น โดยเมื่อ 23 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าพฤติกรรมผู้ทำศัลยกรรมกว่า 80% มักจะเอาภาพดาราดังมาให้แพทย์ดูเพื่อเป็นต้นแบบในการทำศัลยกรรมให้กับตัวเอง จนล่าสุดฉุดศัลยกรรมความงามกลายไปเป็นเรื่องแฟชั่น จนสาวๆ วัยรุ่นอยากมีหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่งรูปหยดน้ำตาแบ๊วแบบดาราเกาหลีกันเป็นแถวเป็นแนว
ผลก็คือ ตอนนี้สาวไทยเริ่มจะหน้าละม้ายคล้ายกันไปหมดตามแบบสาวเกาหลี มองหาเอกลักษณ์ความงามของชาติพันธุ์กันแทบไม่เจอ
“ศัลยกรรมความงาม” ไม่ใช่ทั้งเรื่องแฟชั่น หรือการก๊อบปี้รูปหน้า ตา จมูก หรือปากของใครๆ มาวางไว้บนหน้าของเราได้
ประการแรก เพราะการทำศัลยกรรมไม่ใช่การเขียนคิ้ว แต่งหน้า ทาปาก หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนทรงผม เมื่อตัดสินใจทำไปแล้ว วันหนึ่งแฟชั่นหรือความนิยมเปลี่ยนไปแล้วอยากจะเปลี่ยนตามนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ประการที่สอง โครงสร้างบนใบหน้าของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงชาติพันธุ์ การทำศัลยกรรมจึงต้องคำนึงถึงสัดส่วนบนใบหน้าและเป็นการเสริมเติมแต่งอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดมิติความงามที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การลบธรรมชาติเดิมทิ้งและสร้างขึ้นใหม่ การทำศัลยกรรมความงามจึงไม่ใช่การก๊อบปี้หรือเลียนแบบตามกระแสแฟชั่นอย่างที่กำลังฮิตกัน!
“ถ้าทำศัลยกรรมความงามให้เป็นแฟชั่น อนาคตคนในโลกนี้คงหน้าตาเหมือนกันไปหมด ผมจึงอยากเตือนบรรดาสาวๆ ที่กำลังคิดอยากทำศัลยกรรมเพราะกลัวตกกระแสแฟชั่นว่าให้คิดดีๆ ก่อนตัดสินใจทำ เพราะเมื่อทำไปแล้วแก้ไขยาก และอาจทำให้หน้าพังไปเลยก็อาจเป็นได้” นพ.ชลธิศ กล่าว
การทำศัลยกรรมความงาม จึงไม่ใช่เรื่องแฟชั่น แต่เป็นทำเพื่อการสร้างความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้น
คงไม่มีใครตัดสินใจทำศัลยกรรมแล้วอยากให้คนอื่นชมว่า สวยเพราะศัลยกรรม หรือสวยแบบพลาสติกเป็นแน่
“ปัจจุบันการทำศัลยกรรมความงามในประเทศไทย ได้พัฒนามาถึงขึ้นการทำศัลยกรรมเพื่อบุคลิกภาพ หรือ Personality Surgery ซึ่งดูสวยเนียนอย่างเป็นธรรมชาติจนดูไม่ออกว่าเป็นการทำศัลยกรรม แต่ทำให้ผู้ทำดูดีขึ้น สวยขึ้น ส่งผลให้เกิดความมั่นใจตามมาในที่สุด ทั้งนี้ ยังแนะว่าผู้ที่สนใจจะทำศัลยกรรม ควรให้ความสำคัญกับการทำศัลยกรรมเพื่อเสริมบุคลิกภาพมากกว่ามองว่าการทำศัลยกรรมเป็นแฟชั่นที่ทำตามกัน” นพ.ชลธิศ กล่าว
นอกจากนี้ นพ.ชลธิศ ยังกล่าวถึงหลักการสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ ก่อนที่จะตัดสินใจทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า
อันดับแรก ต้องปรับมุมมองที่มีต่อการทำศัลยกรรม โดยมุ่งทำศัลยกรรมเพื่อเสริมบุคลิกภาพ (Personality Surgery) มากกว่ามองว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องแฟชั่นที่แห่ทำตามดาราดัง แต่ไม่รับกับใบหน้าของตัวเอง
รองลงมาคือ ทำศัลยกรรมเพื่อให้ดูดีขึ้นแต่ไม่ทำลายโหงวเฮ้งบนใบหน้า สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ การทำศัลยกรรมตาสองชั้น แล้วเกิดรอยแผลเป็นบริเวณเปลือกตาบน ซึ่งขัดกับศาสตร์โหงวเฮ้งของจีน ที่เชื่อว่าลักษณะที่ดีของช่วงเปลือกตาบนระหว่างคิ้วกับตา คือ ต้องอิ่ม สีสดใส ไม่มีแผลเป็นและตำหนิไฝฝ้า เป็นต้น
และสุดท้าย ควรให้ความสำคัญก็คือ การทำศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม เพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าที่ดีและปลอดภัยควรทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งมักมีข่าวผู้ได้รับผลข้างเคียงจากการทำศัลยกรรม หรือบางรายถึงขั้นเสพติดการทำศัลยกรรมเลยทีเดียว ดังนั้น จึงอยากเตือนให้สาวๆ ศึกษาหาข้อมูล ด้านสถานพยาบาล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ในการรักษา และควรหาความรู้เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมนั้นๆ ให้มากที่สุด ไม่ใช่ตัดสินใจจากราคา จนแห่ทำศัลยกรรมตามกระแสแฟชั่น สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เช่น เลือดไหลไม่หยุด และกลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด ไซนัส เป็นต้น หากป่วยต้องรักษาให้หายก่อนการทำศัลยกรรม โดยเฉพาะโรคหัวใจที่อาจส่งผลถึงชีวิตได้
หนุ่มๆ สาวๆ จะต้องคิดให้ดี หามืออาชีพมาเป็นตัวช่วย เพราะ“ศัลยกรรม” ไม่ใช่เรื่อง “แฟชั่น” ที่มีเทรน์อิน มีเอาต์ ไม่ชอบก็เปลี่ยนได้ตามกระแสความฮอตฮิต แต่ต้องคิดให้รอบคอบก่อนทำ !!
“ไข่มุก” ชุติมา ดุรงค์เดช เธอคือผู้ครองมงกุฎมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 ที่บอกว่าใบหน้าไม่เคยสัมผัสศัลยกรรมเลย แต่กำลังคิดจะทำเร็วๆ นี้ “อยากทำตาให้โตขึ้น ทำจมูกอีกนิดหนึ่ง แล้วตอนนี้น้ำหนักขึ้นก็อยากทำหน้าเรียววีเชฟ ไข่มุกว่าผู้หญิงทุกคนไม่มีใครพอใจในหน้าตาตัวเองหรอกค่ะ (หัวเราะ) มองกระจกทุกคนอยากสวยขึ้น แต่ทำอะไรสมัยนี้ก็ต้องศึกษานะคะ จมูกก็จะลองฉีดฟิลเลอร์แบบไม่ถาวรที่สลายไปได้ภายใน 1 ปี แต่ตาต้องผ่าตัดค่ะ เพราะสวยกว่ากรีด ลองเสิร์ชข้อมูลอินเทอร์เน็ตล่าสุดต้องปลิ้นหนังตาออกมาเย็บ (หัวเราะ) ก็เลยยังกลัวๆ ทำใจอยู่นะคะ
ตอนนี้มุกอายุ 28 ปี ก็คิดว่าถึงวัยที่ต้องทำแล้วล่ะ เพราะอายุแตะเลข 3 หน้าตาก็อาจเปลี่ยนไปอีกโดยธรรมชาติอยู่แล้วนะคะ” ไข่มุก บอกพร้อมรอยยิ้มเบาๆ สวยๆ
เกษียณ
ความงามคือ รางวัลชีวิต
ในวันนี้คนเกษียณเร็วขึ้น อาจเป็นวัฒนธรรมเลียนแบบคนในแถบยุโรป อเมริกา ที่มีแนวคิดอายุ 50 ปี ก็ไม่อยากทำงานแล้ว หรืออาจทำเป็นพาร์ตไทม์ เลือกลาออกไปใช้ชีวิตท่องเที่ยวหรือหาความสุขใส่ตัวมากขึ้น แตกต่างจากคนสมัยก่อนที่ทำงานจนแก่เฒ่ารอเกษียณในวัย 60 ปี ปัจจุบันการทำงานหาเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายหาความสุขให้แก่ตัวเองจึงมีมากขึ้น กลุ่มคนเดินเข้าคลินิกความงามในกลุ่มคนสูงวัยจึงมากพอๆ กับกลุ่มวัยรุ่นเลยทีเดียว พญ.นุสรา วงศ์รัตนภัสสร ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์ไอสกาย “iSKY” ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เพราะคนกลุ่มนี้มีสตางค์ หรือบางคนลูกหลานเรียนจบมีงานทำกันแล้ว จึงเป็นการให้รางวัลชีวิตทั้งไม่จำเป็นกังวลกับเรื่องการใช้จ่ายเพื่อความงามมากนัก
คอร์สสุดฮิต อายุไม่เกี่ยว
วันนี้มีคลินิกความงามมากมายแทบทุกมุมถนน “การรักษาที่ไม่มีประโยชน์ หมอดีๆ จะไม่ทำสิ่งนั้นๆ ให้กับคนไข้ คลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานต้องมีใบอนุญาตจดทะเบียน มีคำว่า ‘คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางผิวหนัง’ และใบอนุญาตเลขที่ 1010+++++++ เป็นตัวเลขระบุชัดเจนค่ะ” พญ.นุสรา แนะนำบิวตี้นิสต้ารุ่นใหญ่
รอยหลุมแผลที่ทิ้งมานานเริ่มเป็นรอยบุ๋มสะสมตามวัย คนสูงวัยอยากปรับให้ใบหน้าเนียนขึ้น ริ้วรอยตีนกา ร่องแก้มชัดเจนขึ้น หนังตาเริ่มตก ใบหน้าหย่อนคล้อยก็อยากผ่าตัดดึงหน้าให้ตึง พญ.นุสรา ย้ำบอกว่า ใครอยากทำงานต้องศึกษาก่อน เบื้องต้นศึกษาจากกูเกิลก่อน เพื่อจะได้มีคำถามไปปรึกษาแพทย์ได้ คอร์สที่ฮิตๆ กัน เช่น ก็ต้องรู้หลักการของโบทอกซ์ ว่าคือระงับการทำงานของกล้ามเนื้อให้คลายตัว และอ่อนแรงลง
ริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ที่หางตาเกิดจากการยิ้ม ซึ่งแต่ละคนใช้กล้ามเนื้อให้การยิ้มไม่เหมือนกัน บางคนยิ้มโดยใช้กล้ามเนื้อหางตา หยีตาเยอะ หรือชอบขมวดคิ้ว เลิกหน้าผากโดยไม่รู้ตัว ก็อาจมีริ้วรอยตั้งแต่อายุไม่มาก หรือคนที่มีรูปหน้าบานเพราะมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่กราม ซึ่งเกิดจากการเคี้ยวอาหาร ก็ฉีดโบทอกซ์ลดส่วนนี้ได้
การฉีดโบทอกซ์จึงขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นมีรอยโรคหรือไม่ อายุจึงไม่เกี่ยว แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 20 ปี คุณอยากฉีดจะต้องให้พ่อแม่เซ็นยินยอม โบทอกซ์มีอายุชั่วคราว 3-6 เดือนก็หมดฤทธิ์ ผลข้างเคียงก็จะหายไปด้วย ไม่ว่าคุณจะทำอะไรคุณต้อง (เสิร์ช) หาข้อมูลก่อน “เป็นคนไข้รู้เยอะๆ หมอชอบนะคะ หมอจะได้ตอบได้ตรงกับปัญหาของคุณค่ะ” พญ.นุสรา บอกย้ำในเรื่องนี้จงอย่าละเลยความสำคัญ
“คนสูงวัยที่กำลังคิดผ่าตัดดึงหน้า ผิวต้องหย่อนคล้อยห้อยมากๆ มีหนังส่วนเกินจริงๆ จึงจะมีพื้นที่ให้ดึง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะออกมาไม่ธรรมชาติ และคนไทยด้วยกายภาพของผิวคนเอเชียหรือผิวสี มักมีปัญหาเรื่องแผลเป็น หรือคีลอยด์ ไม่เหมือนฝรั่งผิวขาวที่ไม่ค่อยพบปัญหานี้นะคะ ก็ต้องระวังในเรื่องกันด้วยค่ะ หลังผ่าตัดดึงหน้าคนไข้บางคนต้องกลับมารักษาแผลเป็นปูดโปนจากแผลเป็นคีลอยด์กับหมอผิวหนังต่อไปอีก ทั้งยิงเลเซอร์ ฉีดยาให้แผลเป็นยุบ แต่สำหรับนวัตกรรมความงามใหม่ๆ บางคอร์สไม่ต้องพักฟื้น เป็นการรักษาแนวใหม่ ทำแล้วแต่งหน้าออกสู่สังคมไปเที่ยว ไปทำงานได้เลย
การทำศัลยกรรมทำแล้วไม่ควรมีผลกระทบต่อสุขภาพ ต้องทำแล้วมีความสุขสบายใจ มั่นใจ และในคนสูงวัยการใช้เงินเกี่ยวกับคอร์สความงามอย่างเช่นฟิลลอร์ก็ต้องฉีดหลายหลอดมากว่าวัยรุ่น ใช้เงินเยอะกว่า หรือการทำเทอร์มาจเพื่อยกกระชับใบหน้า ใช้เงินร่วมแสนบาท ถ้ามีเงินจ่ายได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าถึงกับลงทุนทำให้ตัวเองไม่มีเงิน และคนรอบข้างเดือดร้อนทุกข์ใจไปกับเราด้วย ก็ไม่ควรนะคะ”