เปตะ...เปรต
หลังจากที่พูดถึงนรกมาแล้ว ต่อไปจะเล่าเกี่ยวกับเรื่อง “เปรต” บ้าง ซึ่งเรื่องเปรตนั้นได้ยินตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กโดยปู่ ย่า ตา ยาย โดยท่านจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ
หลังจากที่พูดถึงนรกมาแล้ว ต่อไปจะเล่าเกี่ยวกับเรื่อง “เปรต” บ้าง ซึ่งเรื่องเปรตนั้นได้ยินตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กโดยปู่ ย่า ตา ยาย โดยท่านจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
หลังจากที่พูดถึงนรกมาแล้ว ต่อไปจะเล่าเกี่ยวกับเรื่อง “เปรต” บ้าง ซึ่งเรื่องเปรตนั้นได้ยินตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กโดยปู่ ย่า ตา ยาย โดยท่านจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ มีทั้งเรื่องที่เห็นด้วยตาท่านเองและที่เล่าสืบต่อกันมา
คำว่า “เปรต” ได้แก่ ผู้ที่ตายไปแล้วและไปเกิดในอบายภูมิที่ 2 คือ เปตภูมิ หรือภูมิของเปรต ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า ผีหลอก หรือ ผีเปรต
ทั้งนี้ เปรตนั้นจัดเป็นพันธุ์เดียวกับพวกอสุรกาย แต่จะมีร่างกายที่เล็กกว่าอสุรกายมาก แต่ก็ถือว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน เปรียบเหมือนหมาไทยกับหมาฝรั่งนั่นแหละ ต่างก็จัดว่าเป็นหมาเหมือนกัน ตัวเล็กตัวโตกว่ากันก็เท่านั้น
ส่วนเหตุเครื่องชักนำให้คนไปเกิดเป็นเปรต หรืออสุรกายนั้น ก็คือ “โลภะ” ความโลภไม่มีขีดจำกัด หรือ “ตัณหา” ความทะเยอทะยานอยากนั่นเอง
ทั้งนี้ โดยมีหลักฐานรับรองไว้ในอรรถกถาอัฏฐสาลินีเหมือนกัน ว่า เยภุยเยนะ สัตตา ตัณหายะ เปตติวิสะยัง อุปะปัชชันติ แปลว่า สัตว์ที่เข้าถึงเปรตวิสัยโดยมากก็ด้วยตัณหาคือความอยากเป็นเหตุ
เพราะฉะนั้นคนที่มากไปด้วยความโลภ (โลภะ) ความไม่รู้จักพอ ความทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด เห็นแก่ได้ เห็นแก่กิน จนทำลายความถูกต้องและความดีงามไป
คนประเภทนี้นี่แหละที่จะต้องไปเกิดเป็นเปรต!
อย่างเปรตของพระเจ้าพิมพิสาร นั่นก็ความโลภ เพราะเห็นแก่กิน เห็นแก่ปากแก่ท้อง รู้ทั้งรู้ว่าของที่เขาจัดเตรียมเพื่อนำไปถวายพระโดยเฉพาะ ก็ยังแอบไปเอามากินก่อนพระ
ทีนี้พอตายไปก็ไปเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ตั้งนาน เพิ่งจะมาได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นญาติที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้เอง
หรือตัวอย่างในปัจจุบันซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณโชดก (พระธรรมธีรราชมหามุนี) วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เคยเทศนาสมัยที่ท่านยังมีชีวิตว่า มีครอบครัวหนึ่งที่ภาคอีสาน มีลูก 10 คน พ่อตากับลูกเขยกำลังพากันสร้างบ้านอยู่ 2 หลัง หลังแรกเสร็จแล้ว ส่วนหลังที่ 2 มุงหลังคาแล้ว กำลังเริ่มปูกระดาน
บังเอิญว่าในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ขณะที่พ่อตากำลังกินผลสะคร้ออยู่นั้น ต่อมาได้เกิดอาการท้องร่วง ถ่ายไม่หยุด หมดแรง และภายใน 3 วันก็ตาย
หลวงพ่อเล่าต่อว่า พอตายแล้วปรากฏว่ามาหลอกหลอนลูกหลานต่างๆ นานา เช่น ทิ้งของลงมาจากขื่อบ้าน มีเสียงดังตึงเหมือนกับคนทิ้งของลงมาจริงๆ
แต่พอไปตรวจดูตรงจุดที่เกิดเสียงก็ไม่เห็นมีอะไรตกอยู่ ส่วนที่ใต้ถุนบ้านก็ได้ยินเสียงดังตึงตังเหมือนกัน แต่เมื่อลูกเขยลงไปดูก็ไม่เห็นอะไร ทุกอย่างปกติ
สร้างความประหลาดและกังวลใจให้กับลูกเขยและลูกสาวอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ลูกเขยเป็นคนค้าขาย วันหนึ่งก็ไปซื้อหนังวัวมาตากไว้ที่ฉางข้าว เวลากลางคืนเดือนหงายได้ยินเสียงพับหนังดังเหมือนกันอย่างกับเสียงคนพับ หมาเห่าตลอดทั้งคืน และไม่ใช่เห่าธรรมดา แต่เห่าโหยหวนชวนขนลุก ซึ่งทั้งสองคน ทั้งลูกเขยและลูกสาวก็ขนลุกซู่ชูชันเป็นระยะ
หลวงพ่อเล่าว่า ข้อนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มชัดว่า คนเราที่ตายด้วยความห่วงบ้าน ห่วงลูก ห่วงหลานนั้น จึงนำพาให้มาเกิดเป็นเปรต
อีกเรื่องหนึ่งหลวงพ่อเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2500 มีคนคนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีความเลื่อมใสอยากจะเข้าวิปัสสนา แต่บังเอิญมาล้มเจ็บเสียก่อน ซึ่งก่อนจะตายใจก็ห่วงบ้าน ห่วงลูกหลาน และห่วงทรัพย์สมบัติ เนื่องจากยังไม่ได้ทำพินัยกรรมแบ่งให้ลูกหลาน
ครั้นพอตายไปก็มาหลอกลูกหลานหลายครั้งหลายหน บ้างก็แสดงเป็นรูปร่างจริงๆ บ้างก็แหวกม่านออกมา บ้างก็เอามือมาลูบศีรษะตัวเองเดินวนไปมารอบๆ มุ้งลูกหลานตลอดคืน
ด้วยความห่วงสมบัติเป็นต้นเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงว่าทำให้เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรตมาหลอกหลอนลูกหลานจนอยู่ไม่สุข
เป็นไงครับ ฟัง 2-3 ตัวอย่างก็คงพอที่จะรู้แล้วนะว่า เปรตมีลักษณะความเป็นอยู่อย่างไรเมื่อตายไปแล้ว เอาเป็นว่าที่เราทำบุญให้ผู้ล่วงลับไปนั้นก็คือทำบุญให้เปรต (เปตะ-เปรต ผู้ล่วงลับ) นั่นแหละตราบใดที่เขาผู้นั้นยังไม่ไปเกิดในภูมิอื่นๆ เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นดิรัจฉาน ไปเกิดเป็นเทวดา พรหม เป็นต้น ขอให้ทราบว่าผู้นั้นก็คือเปรตนั่นเอง
ส่วนเปรตมีกี่ประเภท และมีลักษณะรูปร่างอย่างไรนั้นจะนำมาเล่าในสัปดาห์ต่อๆ ไป