posttoday

ไม้ดอกและดอกไม้การเดินทางอันยาวไกล

17 สิงหาคม 2557

ไม้ดอกเกิดขึ้นบนโลกล่าช้ากว่าพืชโบราณ เช่น เฟินและเครือญาติที่โบราณกว่า เช่น สร้อยนางกรอง ช้องนางคลี่ และหญ้าถอดปล้องดึกดำบรรพ์ ไม้ดอกพัฒนาตัวได้ก้าวหน้า

โดย...หม่อมหลวงจารุพันธ์ ทองแถม

ไม้ดอกเกิดขึ้นบนโลกล่าช้ากว่าพืชโบราณ เช่น เฟินและเครือญาติที่โบราณกว่า เช่น สร้อยนางกรอง ช้องนางคลี่ และหญ้าถอดปล้องดึกดำบรรพ์ ไม้ดอกพัฒนาตัวได้ก้าวหน้า เพราะมีอาหารเลี้ยงต้นอ่อน ซึ่งมีเปลือกห่อหุ้มตัวจนมีโอกาสรอดเป็นต้นใหม่สูง

สน (Conifers) ซึ่งเรารู้จักกันดีในปัจจุบัน นับเป็นพืชโบราณ เพราะมันมีการปรับตัวได้บนโลกนับตั้งแต่ยุคมิสซิสซิบเปียน แต่สนมาพัฒนาจนเกิดความหลากหลายเอาเมื่อ 190 ล้านปี ก่อนหน้าเฟินสมัยใหม่ เช่น เฟินข้าหลวง เฟินใบมะขามอะไรทำนองนี้ แต่สนมังกรและสนเกี๊ยะ (สนสองใบ สนสามใบ) ซึ่งเรารู้จักกันดี มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างน้อยมากจนกระทั่งปัจจุบัน มันแทบไม่ต่างจากบรรพบุรุษของพวกมันเลย

ทุกครั้งที่เราขึ้นไปเที่ยวบนป่าสนเกี๊ยะ ไม่ว่าจะเป็นที่ขุนกลางดอยอินทนนท์ หรือป่าสนขนาดใหญ่หลายร้อยไร่ที่โครงการหลวงวัดจันทร์ หรือยอดดอยผ้าห่มปกก็ตาม เราอดเก็บโคนสนที่ซ่อนเมล็ดภายในเกล็ดหุ้มมาพิจารณาดูเสียมิได้ โคนสน (Cone) ความจริงก็คืออวัยวะที่เรียกว่าสตรอบิลี (Strobili) ของมัน โคนสนนี้เป็นเกล็ดที่สร้างสปอร์พิเศษอยู่ภายใน โคนสนเกิดซ้อนอัดกันแน่นเป็นทรงคล้ายเจดีย์ โคนสนมีขนาดตั้งแต่จิ๋ว ขนาดปลายนิ้วไปจนถึงใหญ่และหนักเกือบกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิด (สปีชีส์: Species) ของสน

สิ่งที่ทำให้สนประสพความสำเร็จ ก็คือ โคน (Strobili) ของมัน โคนสน ก็คือ ใบหรือเกล็ด ซึ่งสร้างสปอร์พิเศษอยู่และมันเกิดอัดกันซ้อนกันแน่นเป็นทรงเจดีย์บ้าง กลายบ้าง ในแต่ละใบหรือเกล็ดจะมีแม็กโครสปอร์ 12 อัน ขนาดใหญ่เกิดอยู่เมื่อ Cone แก่เกล็ดจะอ้าออก ลมจะพาเอาเรณูจากโคนตัวผู้ซึ่งสร้างสเปิร์มเซลล์ หรือ Pollen ให้มาผสมกับ Egg Cells เพศเมียในแม็กโครสปอร์ ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นเมล็ด

โลกมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมีแมลงพาหะถ่ายเรณูทำให้เกิดการผสมพันธุ์ และพืชได้พัฒนาตัวเองให้สามารถล่อแมลงมาช่วยผสมหลากหลายขึ้น แต่แม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของรูปร่าง แต่ดอกไม้โบราณ เช่น แมกโนเลีย เมื่อเทียบกับต้นสนแล้วก็ยังคงคล้ายกันในรูปแบบการสืบพันธุ์ แต่อย่างหนึ่งซึ่งแตกต่างกัน ก็คือ แมกโนเลียมีดอกซึ่งไม่แยกเพศผู้ เพศเมีย ดังเช่นโคนสน แมกโนเลียมีดอกซึ่งมีสองเพศอยู่ในดอกเดียวกัน ทำให้ง่ายแก่แมลงที่มาช่วยถ่ายละอองเกสรช่วยให้การปฏิสนธิ (Fertilization) ได้ผลสำเร็จสูงขึ้น จำนวนออวุลเพศเมีย หรือเมล็ดก็ลดลงโดยการลดคาร์เพลลง ส่วนกลีบดอกและกลีบเลี้ยงก็มักจะลดจำนวนลงด้วยเมื่อวิวัฒนาการไปจากพืชโบราณสู่พืชสมัยใหม่

การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ พืชที่มีดอกเก่าแก่ชนิดหนึ่งในประเทศจีนปัจจุบัน ทำให้เราทราบว่าไม้ดอกซึ่งได้รับการตั้งชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Archaefructus Liaoningensis นั้นมีอายุ 130 ล้านปี ซึ่งพืชโบราณนี้ยังไม่มีส่วนดอกให้เห็น นอกจากมีลักษณะของพืชดอกสำคัญอยู่ คือ มีคาร์เพลห่อหุ้มเมล็ดเอาไว้ ซึ่งต่อไปจะเจริญเป็นผล ส่วนกลีบดอกสวยสดงดงามนั้นยังไม่ปรากฏเลย

ไม้ดอกและดอกไม้การเดินทางอันยาวไกล

 

ในราวตอนกลางของยุคครีเทเชียส จากอายุ 110 ล้านปี เกิดดอกไม้ที่มีโครงสร้างเรียบง่าย ดอกกะเทยอยู่รวมกันกับดอกประเภทอื่นที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เกิดการเรียงตัวแบบ Spiral และมี Perianth ซึ่งเป็นส่วนต่อเนื่องของแกนใบที่รองส่วนดอกเอาไว้ ระยะนี้ยังไม่พัฒนาไปเป็น Calyx (วงกลีบเลี้ยง) และ Corolla (วงกลีบดอก) ได้ชัดเจนนัก มักพบ Stamens มาก มีถุงเก็บเรณูแยกจากกัน (Tetrasporangiate) และมีก้านชูอับเรณูสั้นๆ ตัวเรณูมีร่องเดียว (Monosulcate) มีหลาย Carpel แยกกัน (Apocarpous) แต่ละ Carpel มีหลายเมล็ด Carpels ปิดไม่สนิท และ Stigma ไม่มีก้าน (Sessile) ส่วนเกสรเพศเมีย (Pistil) พัฒนาไปเป็นผลเรียก Follicle

ต่อมามีการพัฒนา เกิดการขยายขนาดของดอกและจำนวนของส่วนประกอบต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ในวงศ์แมกโนเลียและวงศ์น้อยหน่า จานรองดอกเริ่มยาวยึดและมีหลายคาร์เพล การพัฒนานี้มีราวตอนกลางยุคครีเทเชียส (95 ล้านปีก่อนคริสตกาล)

กลุ่มของแมกโนเลียที่มีบรรพบุรุษโบราณย้อนหลังไปกว่า 100 ล้านปี ดังมีปรากฏในซากดึกดำบรรพ์ ดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีน้ำต้อย (Nectar) แต่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดึงดูดใจด้วงปีกแข็งให้มาถ่ายละอองเกสรให้ มีฝักและเมล็ดสีแดงดึงดูดนกให้ช่วยกระจายเมล็ด แมกโนเลียมีกว่า 200 ชนิด พบในเขตอบอุ่นและเขตร้อนในเอเซียตะวันออก รวมทั้งบางเขตในทวีปอเมริกาใต้ แมกโนลิดนี้รวมเอาพืชในกลุ่มซาสซาฟราส (Sassafras) อโวคาโด (Persea Americana วงศ์ Lauraceae) และพริกไทย (Piper Nigrum: Piperaceae) เอาไว้ด้วย

ดอกไม้ที่เก่าแก่ที่สุดจะมีหน้าตาอย่างไรนั้นไม่มีผู้รู้แน่ แต่บางทฤษฎีเชื่อว่า ดอกกะเทย (Hermaphrodite Flower) ภายหลังเกิดจากช่อดอก ซึ่งประกอบด้วยดอกเพศผู้เดี่ยวๆ และดอกเพศเมีย สภาพแวดล้อมที่พบไม้ดอกในยุคแรกของโลกนั้น น่าจะเกิดจากเขตร้อน เพราะยังพบวงศ์ของพืชโบราณอยู่ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นอกจากนี้ซากฟอสซิลยุคต้น ยังแสดงให้เห็นว่าพืชไม่ได้แสดงการปรับตัวให้เข้ากับเขตอบอุ่นเลย นี่เป็นเหตุผลหลักที่ว่า ไม้ดอกควรจะเกิดขึ้นในภาคตะวันตกของกอนควานา (Gondwana) คล้ายทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกา พบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่ ในยุคแรกของพืชดอก ประมาณว่าอยู่ตอนกลางของยุคครีเทเชียส (98 ล้านปีมาแล้ว) แต่พืชดอกพัฒนาเร็ว และกระจายพันธุ์ไปเช่นเดียวกับปาล์มและปลายยุคครีเทเชียส ไม้ดอกก็กระจายพันธุ์ปกคลุมทุกแห่งในโลก

ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ล้วนแต่เป็นไม้ดอกจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ส่วนในด้านความสวยงามนั้น Coneflower (Rudbeckia Laciniata) วงศ์ Asteraceae มีช่อดอกรวมซึ่งประกอบด้วย ดอกเดี่ยวอัดตัวกันแน่นอยู่ตรงกลาง กล้วยไม้นั้นนับเป็นนางเอกของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เพราะมีความหลากหลายถึง 24,000 ชนิด ไม่รวมลูกผสมอีกกว่า 60,000 ชนิด ด้วยเหตุนี้มันจึงมีการปรับตัวให้เข้ากับวิธีการถ่ายเรณูโดยแมลง กลายเป็นรูปร่างสัณฐานแปลกๆ บางชนิดทำตัวให้คล้ายกับแมลงที่มาเกี่ยวข้องด้วยเสมอก็มีการตามล่าหาดอกไม้ชนิดใหม่ของผู้คนยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ได้รับอานิสงจากผู้บุกเบิกสำรวจพรรณพืชสมัยก่อน ที่นำเอาพันธุ์ไม้ดอกหลายชนิดมาสู่สายตาผู้คนทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้ว่าพื้นฐานพันธุกรรมไม้ดอกของโลกปัจจุบันนั้นกว้างขวางมาก

ไม้ดอกและดอกไม้การเดินทางอันยาวไกล