สิงโต นำโชค ผู้ชายที่มาพร้อมความสุข
ก่อนที่จะได้มาเจอกับ สิงโต นำโชค ผมไม่คาดคิดเลยว่าพ่อหนุ่มเครางามคนนี้จะทะเล้นและดูมีความสุขได้แปลกมนุษย์
โดย...พงศ์ พริบไหว ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
ก่อนที่จะได้มาเจอกับ สิงโต นำโชค ผมไม่คาดคิดเลยว่าพ่อหนุ่มเครางามคนนี้จะทะเล้นและดูมีความสุขได้แปลกมนุษย์ จนเมื่อเจอกันผมถึงเข้าใจว่า นี่แหละความเป็นเขาที่ทำให้โด่งดังและมีผู้คนชื่นชอบ นอกจากเสียงเพลงผู้ชายคนนี้มักมาพร้อมกับความสุขเสมอ...
“เมื่อก่อนชีวิตผมสุขสบายดีมีรถใช้มีบ้านขับ” เขาพูดหยอกล้อห้วงชีวิตหนึ่งของตัวเองที่แบกความฝันหลังเรียนจบระดับชั้นประถมจากถิ่นเกิดบุรีรัมย์มาหากินในเมืองกรุง โดยช่วงแรกเด็กตัวเกรียมผิวกร้านแดด เริ่มงานที่โรงกลึง ก่อนออกไปทำงานต่อที่โรงแรม ชีวิตลำบากไหม ถามไปเขาบอกผมมีความสุขดี พอเขาอยากเป็นนักดนตรีก็แค่เพียงฝึกเล่นดนตรี ชีวิตดูเรียบง่ายรวดเร็ว แต่สิงโตเป็นคนประเภทมักจะเลือกเล่าเรื่องราวที่มีความสุข เพราะชีวิตเขาถ้าได้เลือกอะไรต้องไม่ใช่ความทุกข์
“คือตอนนั้นเรารู้ว่าเราอยากเป็นนักร้อง รู้ว่าเราชอบพี่โบว์ สุนิตา ตอนนั้นเขาดังมาก เราก็อยากเป็นนักร้องก่อน จากนั้นวงโลโซออกอัลบั้ม เราเห็นว่าเท่มาก เราก็เลยไปฝึกเล่นกีตาร์ พอฝึกเล่นไปเรื่อยก็จินตนาการไปไกลตามประสาเด็กตอนนั้นประมาณอายุ 13 ปี ก็ฝันอยากเป็นนักดนตรี เลยเริ่มฝึกเอาเองมาเรื่อยๆ จากหนังสือเพลง จากวิดีโอ มีพี่คอยสอนบ้างอะไรแบบนั้น จนอายุ 16 ปี ก็ลองไปสมัครตามร้านอาหารดู แรกๆ เขาไม่รับเราก็กลับไปฝึก พอไปหลังๆ มาเขาก็รับ”
ช่วงเวลาที่พยายามอยากเป็นนักดนตรีอยู่นั้น นอกจากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง สิงโตก็บ้าฝึกเล่นดนตรีอยู่เช่นนั้น 3 ปี ผ่านไปเผลอแวบเดียวพอรู้ตัวอีกที ชีวิตของหนุ่มคนนี้ก็เป็นนักดนตรีอาชีพไปเสียแล้ว เล่นดนตรีตามผับตามบาร์ พอเริ่มรู้จักเพื่อนนักดนตรีก็รวมวงกันเล่นจนอายุ 19 ปี ก่อนมีโอกาสออกอัลบั้มในนามวงโมโน โดยสิงโตรับตำแหน่งมือกีตาร์ของวง ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ได้รับการตอบรับพอสมควรในยุคนั้น แต่สุดท้ายวงโมโนก็ต่างแยกกันไป หลายคนในวงไปเรียนต่อ ไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัว แต่สำหรับสิงโตเขายังคงเป็นนักดนตรี
“ผมว่าผมประสบความสำเร็จตั้งแต่ได้เล่นดนตรีแล้ว เคยมีคนถามผมนะว่า ลำบากไหมกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เพราะเขาเห็นผมออกมาใช้ชีวิตเองตั้งแต่เด็กๆ ผมก็บอกเขาไปว่า ผมไม่ลำบาก เพราะมันชอบในสิ่งที่ทำ พอคนมันชอบต่อให้ลำบากยังไงมันก็รู้สึกไม่ลำบากอยู่ดี คือทำงานที่เรารักต่อให้ไม่มีเงินกินข้าวเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์ เหมือนเรามีเมียแล้วเราจน เรากัดก้อนเกลือกินกัน แต่เราก็ยังรู้สึกว่าเราไม่ลำบาก เพราะมันรักไง” เขาหัวเราะเมื่อเล่าจบ ก่อนมือจะเลื่อนไปขยับหมวกนำโชคของเขา
หลังจากไม่มีวงโมโน สิงโตแบกกีตาร์ย้ายไปตามเสียงเพลงอยู่ที่ จ.ภูเก็ต อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาใช้วันเวลาไปอย่างรื่นรมย์ ชีวิตเช้ามาก็ตื่นไปหาที่เงียบๆ นั่งฝึกแต่งเพลง ฝึกร้องเพลงเล่นกีตาร์ ตกดึกก็ออกไปเล่นดนตรีกลางคืนสไตล์โฟล์กซองร้องเองเล่นเองสร้างความสุขให้ผู้คนริมหาด ซึ่งต่อมาการมาอยู่ที่นี่เป็นเหมือนแรงผลักสำคัญให้สิงโตสร้างแนวดนตรีอันมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของเขาทั้งสำเนียงและจังหวะดนตรี จนเข้าตาค่ายเพลงอีกหน แต่ครั้งนี้เขาฉายเดี่ยวกับอัลบั้ม “สิงโต นำโชค” ในปี 2553 มีเพลงเพราะๆ อย่าง ทิ้ง, เธอคือของขวัญ, วันที่เธอยังอยู่ ฯลฯ
“คือตอนแรกเราก็บอกไม่ได้นะว่าเพลงจะฮิตหรือไม่ฮิต เราไม่รู้หรอก แต่เราก็เริ่มทำเพลงในแบบที่เราชอบ คือสไตล์เราจริงๆ ก็เพลงป๊อปแหละ แต่ถ้าฝรั่งเรียกกันว่า ‘เซิร์ฟ มิวสิค’ มันคือดนตรีป๊อปชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของผู้คนริมทะเลอะไรแบบนั้น แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพลงที่ฟังสบายๆ แล้วพอทำเพลงออกไปเราก็ดีใจนะที่คนรู้จักเราเยอะขนาดนี้ ถือเป็นกำไรชีวิตที่มีคนร้องตามเพลงเราได้ มีทัวร์คอนเสิร์ตบ่อยๆ งานก็เข้า มีเงินกินข้าวเยอะขึ้น มีเงินขึ้นแท็กซี่ (หัวเราะ) ผมก็ถือว่าทั้งหมดคือกำไรชีวิตแล้ว”
จากนั้นเขาก็มีบทเพลงอย่าง อยู่ต่อเลยได้ไหม, อยู่อย่างเหงาๆ, วิธีใช้, อาย, ยิ่งรักยิ่งห่าง, รัก...ที่ไม่มีเธออยู่ เพลงที่ใครได้ยินก็ต่างร้องตามได้ หลายๆ บทเพลงที่กล่าวต่างเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของพ่อหนุ่มเครางามคนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยในฝีมือ ทั้งสิงโตยังแอบกระซิบดังๆ ข้างหูมาอีกว่า ไม่นานนี้เขาจะมีคอนเสิร์ตของตัวเองเป็นครั้งแรก นั้นยิ่งตอกย้ำความสำเร็จของพ่อหนุ่มขี้เล่นคนนี้
ผ่านมาหลายปีบทเพลงของเขาแม้จะไม่ได้พูดเรื่องราวมุมมองกับท้องทะเลเช่นเดิม แต่แก่นมุมมองแบบสิงโต นำโชค ยังคงเหมือนเดิม เขาคงยังเก็บความสุขในทุกห้วงเวลานั้นๆ ให้ดีที่สุด เพราะคิดเสมอว่า พรุ่งนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยน ดนตรีสำหรับเขาจึงเปลี่ยนไปได้เสมอตามสิ่งที่พบเจอ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนเลยสำหรับสิงโตคือ มุมมองชีวิตที่ควรจะรื่นรมย์กับสิ่งที่เลือก
“เพลงของผมมันจะไม่เศร้ามากนะเหมือนมันมีมุมปลง คือด้วยความที่เราไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่างมันเลยฝึกให้เราคิดและเข้าใจกับสิ่งที่มีอยู่ เรียนรู้และอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขที่สุด เราเป็นคนคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นเนื้อเพลงมันเลยเป็นแบบนั้นหมด แต่ส่วนใหญ่เราก็จะแต่งเพลงที่ฟังแล้วจะมีความสุข แล้วคอนเสิร์ตแรกในชีวิตของผมก็เช่นกันคนฟังก็จะได้รู้สึกแบบนั้น
“เดอะนำโชค show by สิงโต นำโชค คือชื่อคอนเสิร์ต ขอขายของหน่อย (หัวเราะ) ตอนแรกเราก็คิดชื่อเก๋ๆ เท่ๆ แบบภาษาอังกฤษอะไรแบบนั้น คิดไปคิดมามันออกเสียงยากไม่เอาดีกว่า แล้วที่มาของคอนเสิร์ตคือมันเริ่มจากไปทัวร์คอนเสิร์ต คือเราเห็นว่ามันมีหลายคนที่อยากดูเรา แต่เขามาไม่ได้ อย่างเช่นน้องหนูอายุ 4 ขวบ ชอบเพลง ‘อาย’ มากอยากเข้าไปดูเราเล่นคอนเสิร์ต แต่วันนั้นเราเล่นในผับ น้องเขาก็เข้าไปไม่ได้ งั้นเราน่าจะมีคอนเสิร์ตที่คนหลายๆ วัยซึ่งชื่นชอบในเพลงเราได้มารวมตัวกันฟัง เราก็มาดูว่าแล้วเพลงมันมีพอไหม นับไปนับมามีหลายเพลงเว้ย ผมว่ามันคงถึงเวลาแล้วด้วย เพราะแฟนๆ ก็อยากให้เรามีสักทีเจอหน้ากันก็ถามตลอด พอถามมาเยอะก็จัดซะเลย”
“เดอะนำโชค show by สิงโต นำโชค” จะมีขึ้นในวันที่ 4 ต.ค. ณ ทันเดอร์โดม เมืองทองธานี ซึ่งเจ้าตัวหวังเพียงจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ตามประสาศิลปินผู้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่ความบันเทิงและความสุขที่จะได้รับกลับไปเขาเองบอกไว้ด้วยน้ำเสียงทะเล้นระคนสุขว่า งานนี้รับรองได้ว่าผมจะไม่ทำให้ผิดหวังนะครับบบ!