คอนเสิร์ต เวอร์วังอลังการด้วยงาน 'สเตท ดีไซน์'
ในวันที่อากาศอบอ้าวก่อนงานโชว์ “ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ”คอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบทั่วประเทศ
ในวันที่อากาศอบอ้าวก่อนงานโชว์ “ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ”คอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบทั่วประเทศ ครั้งแรกของวงบอดี้สแลม ผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังจัดแจงเซตอัพอุปกรณ์ที่ว่ากันด้วยเรื่องของจังหวะแสงสี และภาพรวมทั้งหมด เพื่อที่จะให้งานคอนเสิร์ตครั้งนี้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ตามที่คาดหวังไว้ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนความคิด ซึ่งนั่นเป็นเสมือนงานปิดทองหลังพระ เพราะสิ่งที่เกิดมาจากคนเหล่านี้มักถูกมองข้าม แต่แท้แล้วรายละเอียดทั้งหมดของฐานรากสำคัญในงานโชว์ ล้วนมาจากพวกเขาที่เรียกตัวเองว่า “สเตท ดีไซน์” ซึ่งทำหน้าที่เนรมิตโปรดักชั่นทั้งหมดทั้งมวลให้ออกมาเลิศเลอเพอร์เฟกต์ที่สุด เพื่อซัพพอร์ตให้คนดูถึงจุดความฟินให้สมราคาค่าบัตร
เมื่อเห็นช่องทางการเติบโตของงาน สเตท ดีไซน์ พล หุยประเสริฐ จึงเริ่มงานของเขาขึ้นเมื่อ 7 ปี ก่อน โดยการก่อตั้งบริษัท H.U.I. เพื่อสร้างนิยามใหม่ของงานดีไซน์คอนเสิร์ตขึ้น ซึ่งตัวเขาเองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานสเตท ดีไซน์ในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ของวงบอดี้สแลม และอีกมากมายหลายคอนเสิร์ตที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย โดยเจ้าตัวเล่าคร่าวๆ ถึงการคิดงานในครั้งนี้เป็นตัวอย่างให้ฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจในงานสเตท ดีไซน์ว่า
“ในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้จริงๆ มันพิเศษด้วยโจทย์อยู่แล้วนะ เพราะเป็นงานทัวร์แต่เนื่องจากในเมืองไทยก็เคยมีคอนเสิร์ตลักษณะนี้มาบ้าง ซึ่งอย่างตอนคาราบาว ครบรอบ 30 ปี ผมก็ทำแต่ตอนนั้นเข้าไปทำแค่สเตทและก็ซีนรวม ไม่ได้ทำดีเทลในทุกๆ ด้าน แต่ของบอดี้สแลมคราวนี้ผมจัดเต็มทุกอย่างเลยในเรื่องของโปรดักชั่น โดยอยู่บนพื้นฐานที่อยากให้คนที่ซื้อบัตรเข้ามาดูบอดี้สแลมทั่วประเทศได้เห็นคุณภาพเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดไหนก็ตาม งานนี้เราเลยเน้นเรื่องของการพัฒนาจอภาพและไฟ ที่รันอยู่บนระบบเวลา ทำให้โชว์ในแต่ละครั้งมีความเป๊ะทั้งแสง เสียง และภาพ”
นั่นเป็นความพิเศษที่เจ้าความคิดตั้งใจให้งานในครั้งนี้เป็นที่จดจำ แต่ที่สำคัญในงานครั้งนี้เจ้าความคิดอย่างเขายอมแลกกับความเหน็ดเหนื่อยเพิ่มเป็นสองเท่า เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับงานคอนเสิร์ตของเมืองไทยให้ดีขึ้น ซึ่งจะมีคุณภาพที่เทียบเท่ากับงานของเมืองนอกทั้งแนวคิดและเทคนิคต่างๆ ที่นำเข้ามาใช้
“คืออย่างในเมืองไทยหากจัดคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง ก็จะเซตเวทีหน้างานกันสามสี่วันก่อนเริ่ม เพราะมีเวลากันน้อย ซึ่งไม่มีทางทำได้ดี แต่ครั้งนี้เราเปลี่ยนวิธีคิดแบบนั้นไปเลย เรามีการทำงานล่วงหน้าในคอมพิวเตอร์กันก่อน ทั้งเรื่องของแสงและเรื่องของภาพ เรามีการลงทุนอุปกรณ์ทันสมัยเพื่อรองรับโชว์ ซึ่งสามารถนำไปใช้จริงได้เลยในคอนเสิร์ตซึ่งในเมืองไทยยังไม่มีใครทำนะ และนอกจากนั้นเราก็จะเอาการดีไซน์ไฟเข้ามาช่วยเสริมโชว์
“จริงๆ ปกติเราจะเริ่มงานจากการดูสคริปต์ เราต้องคุยเรื่องสคริปกันก่อนว่าจะมีเพลงไหนบ้าง แล้วเพลงเป็นยังไงเพราะว่าสคริปต์เพลงจะเป็นตัวบอกการคิดงานเลยว่า เราจะตีความในแต่ละเพลง และใส่รายละเอียดในเรื่องต่างๆ ลงไปอย่างไร เช่น เพลงไหนไม่เต็มเราก็เอาเรื่องของแสงสีมาถม ก็จะว่ากันไปเป็นเพลงๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว รายละเอียดตรงจุดนี้มันเยอะมาก ทั้งเรื่องการวางไฟ วางจุดยืนของศิลปิน ซึ่งในแต่ละคอนเสิร์ตมันก็ต่างกันไป”
นอกจากงานคอนเสิร์ตครั้งนี้แล้ว พล หุยประเสริฐ เล่าถึงวิธีคิดในการทำงานให้กับศิลปินเบอร์อื่นให้ฟัง อย่างงานคอนเสิร์ตของวงสล็อต แมชชีน ในวาระครบรอบ 10 ปี ซึ่งทำให้เห็นวิธีคิดและความต่างในแต่ละโชว์ได้อย่างชัดเจน โดยโจทย์ของงานนี้คือต้องทำเช่นไรก็ได้ให้ศิลปินโดดเด่น โดยนำคาแรกเตอร์ของวงออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทำงานสเตท ดีไซน์ต้องทำความเข้าใจในทุกรายละเอียด ต้องฟังเพลงและพยายามตีความในทุกเพลงเรียกได้ว่าเข้าไปเฝ้าการซ่อมกันเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นก็ต้องพูดคุยกับศิลปินเพื่อนำตัวตนที่แท้จริงออกมาใส่ในโชว์ให้ได้มากที่สุด
“แต่ละวงจะมีความต่างอยู่แล้ว สล็อต แมชชีนก็มีคาแรกเตอร์ชัดเจน เขาใส่สูทแต่ตัวเนี้ยบทุกครั้ง ดูยิ่งใหญ่ทันสมัยออกแนวอวกาศๆ ฉากบนเวทีก็ต้องเป็นแบบอลังการเวอร์วัง แล้วเราก็ไปนั่งคุยถึงมุมมองซึ่งเมื่อเราคุยกับศิลปินมากขึ้น เขาอยากเสนอความเป็นไทยความเป็นพุทธ เราก็จะเอาแนวคิดนั้นมาตีโจทย์และแฝงเข้าไปในแต่ละช่วง ซึ่งเราต้องทำให้ออกมาพอดี ทั้งตัวศิลปินและแนวคิดของพวกเขา ซึ่งนั่นเองทำให้ในแต่ละงานที่เราทำจะต้องคิดสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
“อย่างล่าสุดคอนเสิร์ตของ สิงโต นำโชคเนื่องจากตัวเขาเป็นศิลปินเดี่ยวและมีเพลงยังไม่มาก เราก็มาคิดแล้วว่าจะทำยังไงเอาแบบเป็นวาไรตี้โชว์นิดๆ เพราะเขาเป็นคนตลกให้มีแขกรับเชิญพิเศษๆ แล้วพอดีสิงโตเขาสนิทกับ โน้ต อุดม ก็เลยอยากให้มีพี่เขาเข้ามาช่วยเพิ่มสีสันซึ่งปรากฏว่า งานคอนเสิร์ตนั้นใครๆ ก็พูดถึงซีนพี่โน้ต แต่ก็ยังไม่ลืมพูดถึงซีนอื่นๆ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องการนำเสนอที่เป็นหน้าที่ในงานของเรา”
เล่ามาถึงขนาดนี้อดถามไม่ได้ว่าหากไม่มีการคิดงานจากสเตท ดีไซน์ ในคอนเสิร์ต จะมีผลต่างไปอย่างไรกับคอนเสิร์ตทั่วไปเหมือนที่เคยทำกันมาหลายปีก่อนหน้า
“จริงๆ เรื่องของสเตท ดีไซน์ มันก็เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว เป็นศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคที่ดนตรีเฟื่องฟูมากในยุค 80 ซึ่งมีการลงทุนในเรื่องของโปรดักชั่นกันหนักมาก จนกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้วว่าต้องมีในงานคอนเสิร์ต แต่จริงแล้วลึกๆ ท้ายสุดของการมางานคอนเสิร์ตก็คือตัวศิลปิน และโปรดักชั่นต่างๆ ที่ผมทำอยู่ก็ทำหน้าที่ขยายสิ่งที่ศิลปินกำลังสื่อออกไป ดังนั้นหากไม่มีเรื่องของสเตท ดีไซน์ มันอาจจะลดทอนตรงจุดนั้นไปบ้าง
“แต่ในความเป็นจริงในยุคนี้มันมีเรื่องของความคาดหวังของคนดูเข้ามาเกี่ยว คนที่ซื้อบัตรเข้ามาเริ่มโหยหามาตรฐานระดับโลก สิ่งนี้มันทำให้การเข้ามาดูคอนเสิร์ตเปลี่ยนไป ฉะนั้นงานของผมจึงมีผลทั้งในเรื่องของการขยายในพาสของดนตรี พาสเพลงและเรื่องความคาดหวังในคุณภาพงาน อย่างคอนเสิร์ตครั้งนี้ผมก็ตั้งใจทำงานมาก แล้วผมจะบอกกับวงบอดี้สแลมเสมอเลยว่า การที่เราต้องทำคอนเสิร์ตในลักษณะนี้ ก็เพื่อที่จะเปิดโลกใหม่ของวงการดนตรี และถ้าหากครั้งนี้ทำสำเร็จ มันก็จะเป็นโมเดลที่เป็นมาตรฐานให้กับคอนเสิร์ตอื่นๆ ของศิลปินที่อยากมีทัวร์คอนเสิร์ต”
ด้วยการทำงานอิสระทำให้การทำงานสเตท ดีไซน์ไม่ถูกตีกรอบและนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในเรื่องของโปรดักชั่นในงานคอนเสิร์ตทั้งในเรื่องของคุณภาพของโชว์ที่ได้มาตรฐานและเรื่องความสนุกสนานที่เพิ่มเข้ามาซึ่งทั้งหมดหากมองโดยรวมแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคงหนีไม่พ้นแฟนเพลงอย่างเราๆ ที่เสียเงินเพื่อเข้าไปดูศิลปินที่รัก