จีนรุ่นใหม่...ไม่สนใคร หวั่น'ไหว้เจ้า'สูญพันธุ์

15 กุมภาพันธ์ 2558

วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ภาพความแตกต่างระหว่างคนจีนในยุคก่อนกับยุคปัจจุบันอย่างน่าสนใจ โดยระบุว่ามีความแตกต่างชนิดที่ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มจากจีนในยุคก่อนเข้าสู่การปกครองคอมมิวนิสต์ จะยึดถือลัทธิ “ขงจื๊อ” เป็นหลัก ด้วยว่ามีวัฒนธรรมมาอย่างช้านานกว่า 2,000 ปี ปลูกฝังเรื่องมารยาทในทุกระดับชั้นของสังคม ทำให้รู้ซึ้งถึงสิ่งไหนควรทำ สิ่งใดไม่ควร รวมถึงมีพิธีกรรมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน

เมื่อคนจีนเปลี่ยนการปกครองก้าวเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ ลัทธิขงจื๊อ ขัดกับแบบแผนที่ผู้นำคอมมิวนิสต์ต้องการ จึงออกคำสั่งให้หยุดการนับถือลัทธิดังกล่าว และหากใครยังปฏิบัติจะมีความผิด เพราะลัทธิขงจื๊อ การปฏิบัติรวมถึงเรื่องมารยาทที่เคร่งครัดเป็นเรื่องของผู้ดี มีชนชั้น ไม่เหมาะกับการนำพาประเทศด้วยการใช้กรรมาชีพเป็นหลัก

“ตามหลักที่ว่า อะไรที่ไม่ใช่ชาตินิยมอย่างสุดโต่งเราจะไม่เอา จีนในยุคคอมมิวนิสต์มีการปลูกฝังกันแบบนั้น ทุกคนอยู่ในระดับชั้นเดียวกัน ใครขัดก็มีความผิด ดังนั้น เมื่อพ่อแม่สอนลูกหลานก็ให้ยึดถือตามแนวที่คอมมิวนิสต์ต้องการ ไม่ใช่ลัทธิขงจื๊อดังเช่นที่ผ่านมา คนจีนจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ไม่สนใจมารยาทพิธีกรรม หรือวัฒนธรรมที่นำพาปฏิบัติมาช้านาน เนื่องจากรัฐบาลในยุคนั้นทำให้มองว่าเป็นเรื่องงมงาย เพราะเขาทำก็มีความผิดทันที”

วรศักดิ์ อธิบายการเปลี่ยนแปลงของคนจีนให้ฟังต่อว่า กระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่ประเทศจีนเปิดประเทศ ทำการค้าจนเจริญเติบโต และไม่ได้บังคับให้ห้ามยึดแนวคิดของ “ขงจื๊อ” แล้ว แต่เมื่อคนจีนถูกหยั่งรากให้ลืมลัทธิอันน่าเคารพไปนาน จึงเกิดความไม่สนใจที่จะรื้อฟื้นลัทธิขงจื๊อมาปฏิบัติอีกครั้ง

เราจึงได้เห็นคนจีนที่ไปต่างประเทศไปท่องเที่ยวมีพฤติกรรมที่ไม่สนใจใคร

“แต่สิ่งที่คนจีนแสดงออกไปให้ทั่วโลกเห็นถึงความไม่มีมารยาทนั้น ไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนไปต่างบ้านต่างเมืองเท่านั้น แม้แต่บ้านเขาก็ทำแบบเดียวกัน กระนั้นรัฐบาลจะออกมารณรงค์ให้คนจีนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ออกข้อห้ามข้อปฏิบัติเมื่อไปต่างแดน เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองรับได้ก็ไม่ได้ผล เพราะการจะไปควบคุมคนนับพันล้านคนมันแก้ไขไม่ได้แค่ในข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลานาน”

อย่างไรก็ตาม วรศักดิ์ยังเชื่อว่าในอนาคตคนจีนน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ดีขึ้น เพราะปกติมนุษย์ต้องมีการปรับตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา เฉกเช่นคนไทยก็เช่นกัน วรศักดิ์ อธิบายว่า เมื่อ 30 ปีก่อนที่ส้วมชักโครกเข้ามา คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังใช้ไม่เป็น แต่ก็เกิดการเรียนรู้พัฒนาเปลี่ยนแปลง ไปไหนก็ไม่อายเขา

แต่กับคนจีนในขณะนี้ยังไม่ใช่ เพราะเขาเลือกความพึงพอใจของตนเองเพียงฝ่ายเดียว ไม่เห็นหัวใคร

“เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนไทยเชื้อสายจีนกับคนจีนแท้ๆ เพราะคนไทยเชื้อสายจีนถูกปลูกฝังในวัฒนธรรมไทย ตรงนี้เลยเกิดความแตกต่าง แต่ผู้นำประเทศจีนในยุคคอมมิวนิสต์ก็มีความต้องการในทิศทางของตนเอง แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลในอนาคตที่จะตามมา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่เรียกว่า 'พฤติกรรมพันธุ์ทาง' ที่คนจีนกำลังเป็นอยู่” วรศักดิ์  ทิ้งท้าย 

ขณะที่ วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีน แสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของชาวจีนที่แปรเปลี่ยนไปว่า  ในปัจจุบันคนไทยเชื้อสายจีนจะไม่มีความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมจีนที่แม่นยำนัก หรืออาจไม่มีความรู้เลย เช่น ชื่อ แซ่ ในภาษาจีนของตน คืออะไร เป็นต้น เนื่องจากได้มีการรับวัฒนธรรมมาจากทางตะวันตก รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาแทรกแซงใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการผสมผสานกับการเห็นว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวจีนไม่มีความสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่มีผู้ใหญ่หรือญาติ  ที่ไม่มีการบอกกล่าวเล่าเรื่องราวถึงความสำคัญของประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวจีน  อีกทั้งยังไม่ใส่ใจที่จะศึกษาอย่างจริงจัง หรือแม้กระทั่งมีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจมากกว่า

ทำให้ไม่มีการปฏิสัมพันธ์เพื่อนำไปซึ่งการสืบทอดทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ จนเริ่มเจือจางห่างหายไปทีละน้อย

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวประเทศจีน แสดงความกังวลด้วยว่า ปัญหาของการสืบทอดวัฒนธรรมเกิดจากความบกพร่องของการให้ข้อมูล การให้ความรู้ และความเข้าใจในพิธีกรรมหรือเทศกาลสำคัญที่ชาวจีนควรรู้และปฏิบัติ ซึ่งการเน้นย้ำความสำคัญที่ต้องสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น หรืออนุรักษ์ให้ดำรงคงอยู่ในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน หรือแม้แต่คนจีนแท้ก็ตาม เพื่อดำรงอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของความเป็นกลุ่มชาติพันธุกรรมให้คงไว้นานเท่านาน  

“ปัญหาดังกล่าวมองว่าสาเหตุหนึ่งมาจากการไม่ได้สื่อสารจริงจังระหว่างคน ในแต่ละรุ่นอายุโดยตรง ทำให้ขาดความเข้าใจในความคิด ทัศนคติของอีกกลุ่ม หรือมีทัศนคติต่ออีกกลุ่มผิดๆ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งส่งผลทำให้การสืบทอดไม่เกิดขึ้นหรือไม่ต่อเนื่อง ทำให้การสืบทอดถูกลดความสำคัญจนอาจกลายเป็นความสูญสิ้นทางวัฒนธรรมของชาวจีนที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นพันๆ ปี” วิโรจน์ กล่าว 

วิโรจน์ กล่าวด้วยความวิตกกังวลว่า จากเดิมเคยมีประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีการไหว้เจ้า การไหว้บรรพบุรุษต่างๆ มีกระบวนการ วิธีการอย่างไร ซึ่งประเพณีที่สืบต่อกันมาอาจจะหายไปจากสังคมไทยในเวลา 1 ชั่วอายุคน อาจจะไม่มีการไหว้เจ้าอีกแล้ว ซึ่งจำนวนของประชาชนที่มีจำนวนมากขึ้นไม่ได้มีผลกระทบแต่อย่างใด แต่อยู่ที่การสั่งสอน อบรมบ่มความรู้ทางวัฒนธรรม ถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น และพฤติกรรมต่างๆ คนรุ่นใหม่มากกว่า

อย่างไรก็ตาม การที่วัฒนธรรมจีนหรือความเป็นจีนจะดำรงอยู่ได้ก็ต้องเกิดจากการร่วมมือ หรือการปฏิบัติของชาวจีนส่วนใหญ่หรือส่วนรวมไม่ใช่เพียงเป็นเรื่องของผู้ใดผู้หนึ่ง หรือครอบครัวใดครอบครัวเดียวเท่านั้น

Thailand Web Stat