บอย โกสิยพงษ์ ฤดูที่แตกต่าง เพลงรักที่เปลี่ยนไป
อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
โดย...จักรวาล สาเหล่ทู, ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
“อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ”
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเพลง “ฤดูที่แตกต่าง” ใครได้ยินก็แทบจะร้องตามกันได้ เป็นเพลงที่สร้างชื่อให้กับ “บอย โกสิยพงษ์” จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อเพลงรักในนามค่ายเบเกอรี่มิวสิก (Bakery Music)
จะเรียกว่าเป็นสัจธรรมชีวิตก็ว่าได้ที่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา เพราะสุดท้ายเบเกอรี่มิวสิกก็ต้องปิดตัว อีกด้านแม้งานเลี้ยงจะมีวันเลิกราไปแล้ว ทว่า ค่ายเพลง “เลิฟอีส” ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยยังมี “บอย โกสิยพงษ์” ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้งยังคงปรัชญาของเบเกอรี่ไว้ครบทุกประการ
มาในปีนี้เลิฟอีสมีอายุ 10 ปีอย่างเป็นทางการแล้ว
แม้ “บอย โกสิยพงษ์” จะไม่ค่อยได้ออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง นับตั้งแต่โปรเจกต์ “บอย-ป๊อด” Bittersweet เมื่อ8 ปีก่อน และการทำอัลบั้มกับศิลปินคู่ใจอย่าง “นภ พรชำนิ”ในชื่อว่า “Boyd-Nop” ปี 2553 แต่ บอยยังคงอยู่เบื้องหลังคอยผลักดันศิลปินเลือดใหม่ของค่าย จนมีผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับ
ที่เห็นเด่นชัด คือ “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” ศิลปินนักร้อง นักแต่งเพลง ซึ่งเพิ่งมีคอนเสิร์ตใหญ่ไปเมื่อปี2556 ที่ทุกวันนี้ไปที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก รวมถึง “ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ” นักร้อง นักแต่งเพลงอีกคน ผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นในมาดผู้ชายอบอุ่น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่บอยได้ฝากเอาไว้ตลอดระยะเวลา 10 ปีของเลิฟอีส
ทีมงาน @Weekly ขอคำตอบจาก “บอย โกสิยพงษ์” ในวาระ 10 ปีเลิฟอีสถึงความหมายของชื่อค่ายเพลงว่าแท้ที่จริงแล้วคำว่า รัก ในความหมายของเลิฟอีส นั้นคืออะไร
“ก็ เลิฟ-อีส ความรัก คือ พวกเรานี่แหละ คนทำเพลง คนทำงาน พ่อบ้านแม่บ้าน และคนฟัง ความรัก คือ สิ่งที่เรากำลังอยู่เพื่อคนที่เรารัก” คำตอบจาก “บอย โกสิยพงษ์”
บอย ยังให้มุมมองเกี่ยวกับพลวัตของเพลงรักที่เปลี่ยนแปลงไปในบริบทของสังคมไทยว่า
“ในสมัยที่พี่เข้าวงการใหม่คิดว่าเพลงรักในเวลาตอนนั้นมีความแตกต่างและไม่เหมือนกับปัจจุบันพอควร แตกต่างกันในเรื่องรายละเอียดและวิธีการนำเสนอ”
...ในรายละเอียดของเพลงรักยุคพี่มันจะไม่ค่อยมีเรื่องผิดศีลธรรมมากนัก คือแบบว่ามันคือการนำเสนอมันไม่ได้โจ่งแจ้ง ยังมีลักษณะของการแสดงออกแบบอ้อมๆ แต่สมัยนี้นำเสนอตรงๆ แบบโจ่งแจ้งเหลือเกิน ไม่ได้พูดโจ่งแจ้งเหมือนสมัยนี้ที่ต้องการความแรงกับการสื่อสารที่เข้าใจอะไรง่ายๆ”
แสดงว่าความรักของคนสมัยก่อนจะมีความโรแมนติกมากกว่าปัจจุบัน? “บอย โกสิยพงษ์” มีมุมมองต่อคำถามนี้ว่า
“รุ่นก่อนรุ่นพี่จะมีความละมุนละไมมากกว่า มีความละมุนละไมไปเรื่อยๆ เวลานี้เมื่อสังคมเราพอเริ่มมีการสื่อสารที่ใกล้ชิดมากขึ้นมันก็จะสื่อสารได้ตรงและรุนแรงมากขึ้น เพลงมันก็วิวัฒนาการไปตามนั้น”
เพลงรักสมัยนี้ให้อิทธิพลต่อวัยรุ่นขนาดไหน? มือเขียนเพลงรัก คิดว่า “เพลงก็มีอิทธิพลส่วนหนึ่งในทุกสมัย มีส่วนในการสนับสนุนการตัดสินใจ เพราะบางทีการตัดสินใจของทุกยุคทุกสมัย ก็จะใช้ตรรกะส่วนหนึ่งและอารมณ์อีกส่วนหนึ่ง แล้วสมมติว่าถ้าอารมณ์มีมากกว่าตรรกะเพลงก็มีจะอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาในเรื่องต่างๆ มีอยู่แล้วละครับ”
“เพลงมีอิทธิพลตรงที่มันทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่นเบิกบานในเวลาที่เราฟังเพลงพวกนี้ เหมือนเดินอยู่ในบรรยากาศที่ร่มรื่นและโรแมนติก”
สำหรับเพลงรักในปัจจุบัน “บอย โกสิยพงษ์” มองในภาพรวมว่า “คนฟังก็ฟังหลายรูปแบบครับ แต่สมัยนี้ผมคิดว่าเพลงจะออกแนวที่พูดถึงตัวเองเป็นส่วนใหญ่มากกว่า ต่างจากสมัยก่อนที่เพลงมักจะพูดและสะท้อนในเรื่องของสังคมและส่วนร่วม จะว่าไปมันก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะทุกวันนี้คนก็อยู่กับตัวเองเยอะขึ้น เพราะมีสื่อสังคมออนไลน์ มันเกี่ยวข้องกันนะ เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม
“เท่าที่สังเกต คือ คนต้องการเพลงที่จะมาเป็นตัวสะท้อนอารมณ์ของเขาในช่วงเวลานั้น และจะส่งต่อไปให้กับคนอื่นหรือเพื่อน เพื่อให้ได้รู้เขากำลังรู้สึกแบบนี้อยู่”
เรื่องแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนั้น บอย ยืนยันว่ายังยืนในจุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ ไม่ได้เน้นเรื่องใดเรื่องเป็นพิเศษ แต่จะให้ครอบคลุมและสื่อความหมายของความรักในทุกแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ยังเหมือนเดิมตั้งแต่แรกทุกประการ มาจากเรื่องครอบครัว มาจากเรื่องคนใกล้ชิด มาจากเรื่องเพื่อนพี่น้องเพื่อนฝูงอะไรทำนองนี้ มันเป็นเหมือนสิ่งเราเชื่อมาตลอดในการแต่งเพลงรัก จะว่าไปเหมือนกับการสมมติว่าถ้าเราชอบกินรสชาตินี้เราก็จะทำรสชาตินี้เพื่อรับประทานในสิ่งที่เราชอบ”
การพูดคุยกันมาจนถึงคำถามที่ว่า “ความรักในความเชื่อแบบบอยเป็นอย่างไร?” บอย อธิบายว่า “เราเชื่อว่าความรักมันไม่ได้ผูกกับอารมณ์ ความรัก คือ คำมั่นสัญญา สมมติว่าเรามีคำมั่นสัญญาด้วยกันว่าเราจะรักกันไปจนถึงวันตาย อารมณ์เราไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนก็ตาม จะโกรธจะทะเลาะ จะยินดีอะไรก็ตาม เราจะไม่เอามันมาผูกกับคำมั่นสัญญาของเรา”
“เพราะว่าถ้าเราเอามันมาผูกกับคำมั่นสัญญาของเราแล้ว คำมั่นสัญญาของเราก็จะไปตามอารมณ์ ความรักของเราเลยต้องผูกกับคำมั่นสัญญาเท่านั้น จะโกรธกันแค่ไหนก็ไม่สนใจ คือ อย่างไรเราก็ต้องรักกันจนวันตายอยู่ดี”
“พอเอาทุกอย่างไปผูกกับอารมณ์ความรุนแรงมันก็จะเข้ามา คนปัจจุบันเท่าที่พี่ดูตามโซเชียลมีเดียก็พบว่าเอาตัวเองไปผูกกับอารมณ์ค่อนข้างมาก ถ้าตัวเราเอาตัวเราไปผูกกับอารมณ์จะทำให้ตัวเราขึ้นหรือลงตามไปกับอารมณ์มันก็จะเหมือนกับอารมณ์เป็นนายของเรา แต่ถ้าเราเอาตัวเราผูกกับจุดยืนในชีวิตของเรา เช่น เราอยากมีชีวิตที่ดีมีเพื่อนที่ดี มีคู่รักที่ดี หรือมีสิ่งอื่นๆ ในทางที่ดี เราก็ต้องไม่เลือกที่จะทำให้ตัวเราถูกผูกไปกับอารมณ์ โดยเราต้องผูกกับจุดยืนของเราหรือคำมั่นสัญญาเท่านั้น”
“เห็นหรือไม่ครับว่าเดี๋ยวนี้มีคนด่าทอกันเยอะ มีคนโกรธกันง่ายๆ ในเรื่องนิดๆ หน่อย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนเราให้อารมณ์มาเป็นตัวนำ”
คาดหวังว่าเพลงที่พี่แต่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีหรือไม่ หลังจากที่สังคมเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน? “บอย โกสิยพงษ์” ตอบว่า “ก็...จริงๆ เราเชื่อว่าเพลงที่เราแต่งหรือเพลงอื่นมันเหมือนเป็นอาหารทางวิญญาณและจิตใจนะครับ ถ้าคนเสพอาหารแบบไหนก็จะออกมาเป็นแบบนั้น Output ก็จะเป็นแบบนั้น”
“ดังนั้น จะไปคาดหวังว่าเพลงจะช่วยเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับสังคมว่าอยากจะเสพอาหารที่เราเสิร์ฟหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าคนฟังแล้วนำเอาไปคิด ก็คิดว่าเพลงก็น่าจะช่วยได้ แต่ถ้าฟังแล้วไม่ได้คิดหรือไม่ได้ฟังก็คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร” บอย ทิ้งท้าย