ตะกายดาว
ได้กลับมาฟังเพลงที่ชื่อ “ตะกายดาว” อย่างหมกมุ่นและจริงจัง
โดย...พรเทพ เฮง
ได้กลับมาฟังเพลงที่ชื่อ “ตะกายดาว” อย่างหมกมุ่นและจริงจัง
ความจริงบทเพลงนี้เป็นอมตะนิรันดร์กาลอยู่ในใจของคนฟังเพลงมากมาย นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ฟังได้ทุกยุคทุกสมัย อยู่เหนือกาลเวลาเพลงหนึ่งของบทเพลงร่วมสมัยของเมืองไทย
จากการปูพรมโฆษณาอย่างถี่ยิบของชาเขียวแบรนด์หนึ่ง ที่กระตุ้นให้คนซื้อดื่มเพื่อชิงรถหรูดาวแฉกจากเยอรมนี โดยแจกกันวันละคัน 50 วัน 50 คันกันเลย
การใช้บทเพลง “ตะกายดาว” มาแปลงเนื้อร้องใหม่เพื่อโฆษณาแคมเปญนี้กันโดยเฉพาะ ทำให้หลายคนที่ดื่มด่ำและชอบเพลงนี้ ถึงกับอึ้งและปวดใจกันพอสมควร
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เมื่อสัก 20-30 ปีที่แล้ว ที่เติบโตมากับซิทคอมหรือละครตลกเบาสมองที่ชื่อเดียวกันกับเพลงคือ “ตะกายดาว” ซึ่งมีผู้ประพันธ์เพลงธีมคือ เรวัต พุทธินันทน์ ซึ่งประพันธ์คำร้องด้วย โดยมี ชาตรี คงสุวรรณ กับอรรณพ จันสุตะ เป็นผู้ร่วมแต่ง
ซิทคอม “ตะกายดาว” ถือเป็นมิติใหม่ของวงการละครทีวีไทยในปี 2532 เป็นการบุกเบิกที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน และกลายเป็นละครฮิตของกลุ่มคนดูรุ่นใหม่ไปในทันที ซึ่งในที่นี้ความโดดเด่นก็อยู่ที่ตัวเพลงธีมของละครที่ใช้ชื่อ “ตะกายดาว” ด้วยความยาวเพียง 2 นาทีกว่าเท่านั้น แต่สามารถซึมแทรกเข้าไปในหัวใจของ
ผู้ชมให้มีความรู้สึกร่วมได้อย่างหมดจด
ในขวบปีนั้น ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมเพลงไทยร่วมสมัยที่เรียกกันว่า “เพลงสตริง” กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด โดยเฉพาะเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ได้รับผ่านยอดขายเทป
คาสเซต ซึ่งสามารถได้ถึง 1 ล้านก๊อบปี้หรือตลับกันแบบไม่ยากเย็นสำหรับนักร้องหรือวงดนตรีในระดับเมกะฮิตหรือโด่งดังแบบระเบิดระเบ้อ ส่วนในระดับธรรมดาที่ขายได้ก็อยู่ระดับหลายหมื่นถึงหลายแสนตลับ
เรวัต พุทธินันทน์ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของอุตสาหกรรมเพลงในแนวพาณิชย์ศิลป์แบบไทยๆ ให้รุดหน้าไปในด้านการขายสินค้าเพื่อความบันเทิงที่ถูกจริตคนฟังเพลงไทยรุ่นใหม่ในขณะนั้นได้อย่างอยู่มือ
แม้ว่าเพลงแบบเรวัตจำนวนไม่น้อย มีวิธีการผลิตเพลงด้วยการเลียนอย่างและลอกแบบหรือถึงขั้นใช้วิธีลักวิทยาเพลงต่างประเทศมาส่วนหนึ่งก็ตาม แต่ในยุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่ความเข้มงวดและกฎหมายลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญายังไม่เคร่งครัดมากนัก ถือเป็นการไหลเททางวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่งที่นิยมกัน
เรวัตทำโปรดักชั่นดนตรีในแบบสายพานการผลิตเพลงที่เป็นระบบมากขึ้น มีทีมเขียนเพลงทำดนตรีและฝ่ายการตลาดประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร จนสถาปนาสกุลดนตรีป๊อปที่เรียกว่า “แกรมมี่ซาวด์” ขึ้นมาได้ และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
แน่นอน บทเพลง “ตะกายดาว” ก็เป็นการเขียนเพลงแบบ “เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์” ซึ่งมีลายเซ็นเฉพาะตัวในมุมมองที่นำเสนอ การเล่าเรื่อง การใช้ภาษาใช้คำที่ง่ายและกินความในอารมณ์ความรู้สึกของคนฟังได้ดี สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนคือ การนำอารมณ์ความรู้สึกภายในของตัวละครในเชิงสะเทือนอารมณ์หรือดราม่าออกมาได้แบบเข้าถึง ถ่ายทอดออกมาได้แทนใจคนฟังที่รับรู้สึกร่วมกันเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะการเล่าเรื่องผ่านถ้อยคำจากเรื่อยๆ เข้าประเด็นที่ต้องการสื่อสารแล้วเชื่อมไปสู่จุดสูงสุดของเพลง ที่ไต่บันไดอารมณ์เข้าสู่ท่อนฮุกที่จำได้ติดหูติดปากแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ แล้วร้องซ้ำวนไปจนจบเพลง ก่อนที่จะ
ลางเลือนหายไปปล่อยให้ความซาบซึ้งตรึงใจค้างในความรู้สึกของคนฟัง
“ตะกายดาว” จึงเป็นบทเพลงป๊อปบัลลาดที่เปรียบเสมือนการกู่ก้องร้องจากห้วงลึกภายในของคนธรรมดา หรือพวกต้นทุนต่ำทางสังคมที่ต้องการมุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีกว่ามีชื่อเสียงเงินทอง แม้โดยเป้าหมายของซิทคอมจะพูดถึงความทะเยอทะยานและพลังขับของคนที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงวิ่งวนตามมายาภาพที่อยู่ระหว่างทางไต่ฝัน แต่อีกด้านหนึ่งก็คือการพูดแทนใจของคนทั่วไปในทุกเพศทุกวัย ที่มีความฝันเพื่อจะก้าวไปถึงเป้าหมายในใจของตัวเอง ปลอบประโลมหัวใจที่แห้งผากให้ชุ่มชื่นขึ้นมาได้
รวมถึงบทเพลงภาคต่อที่เป็นเพลงประกอบละครโทรทัศน์ “เพื่อเธอ” ในปี 2538 ที่ชื่อ “สักวันต้องได้ดี” ออกมาตอกย้ำอีกครั้ง ถึงแนวเพลงดราม่าเชิงละครที่ปลอบประโลมและให้กำลังใจ สำหรับคนที่พยายามมุ่งมั่นแต่ไม่เคยได้รับผลตอบแทน ยิ่งทำให้เห็นถึงฝีมือของการเขียนเพลงแนวนี้ของ เรวัต พุทธินันทน์ ที่หาคนทาบได้ยากความทรงจำและซาบซึ้งบทเพลง “ตะกายดาว” นั้น แม้จะมีการนำกลับมาร้องใหม่ทั้งคัฟเวอร์แบบตรงๆ และตีความใหม่หลายต่อหลายเวอร์ชั่น ก็ยังรักษาคุณค่าและความหมายของบทเพลงดั้งเดิมไว้อย่างทรงพลังและไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ
แต่เชื่อไหม เวอร์ชั่นล่าสุด “ตะกายดาว” ฉบับโปรโมทชิงโชครถหรูนั้น ฟังแล้วถึงกับสำลักชาเขียวกันเลยทีเดียว...