มากินผักผลไม้ ตามธาตุเจ้าเรือนกันเถอะ
ร้อนนี้ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยว จ.ระยอง ตามคำชวนของ พสิษฐ์ตา อินทร์พันธ์ ผู้อำนวยการ
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ร้อนนี้ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยว จ.ระยอง ตามคำชวนของ พสิษฐ์ตา อินทร์พันธ์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง-จันทบุรี ที่เธอแจ้งว่าจะพาผมไปเยี่ยมชมแหล่งรวบรวมพันธุ์สมุนไพรมากกว่า 2 หมื่นต้น ณ สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมบอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการกินผักผลไม้ตามธาตุเจ้าเรือน
ก่อนเดินทางไป จ.ระยอง ตามคำชวน ผมก็ได้สืบค้นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธาตุเจ้าเรือนว่ามันคืออะไร แล้วผมก็ได้ค้นพบข้อมูลสำคัญจากงานการแพทย์แผนไทย กลุ่มงานพัฒนาบุคลากรและการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานสาธารณสุข จ.เชียงใหม่ ที่เผยว่า ธาตุเจ้าเรือนเป็นภาวะธรรมชาติที่ผู้นั้นเกิดมาช่วงเวลา วัน เดือน ปี ฤดูและเวลาใดของ 1 วัน ย่อมกำหนดจุดอ่อน จุดเด่น ของร่างกายและจิตใจของผู้นั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์จะมีลักษณะที่คล้ายกันเป็นสิ่งกำหนด นอกเหนือจากภาวะพันธุกรรมที่ได้จากบิดาและมารดา มนุษย์จึงมีความแตกต่างกันไป แม้แต่สายพันธุ์เดียวกัน เมื่อเกิดอยู่ต่างพื้นที่กันก็ยังมีสารเคมีภายใน หรือสารสำคัญภายในปริมาณมากน้อยต่างกัน
ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าการเกิดชีวิตใหม่จะเกิดขึ้นได้ต้องมีพ่อมีแม่ที่มีลักษณะของหญิง ชายครบถ้วน หมายถึงพ่อมีลักษณะของชายครบและแม่มีลักษณะของหญิงครบ โดยให้ความหมายของชีวิตไว้ว่า ชีวิตคือขันธ์ 5 อัน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ทางการแพทย์แผนไทยมีความเชื่อในเรื่องธรรมชาติว่า การเกิดรูปครั้งแรกในครรภ์มารดามีขนาดเล็กมาก ขนาดเท่ากับหยดน้ำมันงาที่ติดอยู่ปลายขนจามรีหลังจากถูกสะบัดถึง 7 ครั้ง และด้วยอิทธิพลของธาตุไฟก่อนจึงเกิดธาตุอื่นตามมาจนครบธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม และไฟ แล้วจึงเกิดเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จนครบขันธ์ 5เมื่อได้พบปะพูดคุยกับพสิษฐ์ตา เธอบอกเล่าให้ผมฟังว่า การแบ่งธาตุเจ้าเรือนสามารถวิเคราะห์ได้ตามเดือนเกิดและอาจควบคู่กับการวิเคราะห์ตามบุคลิกภาพของคนคนนั้น เช่น ใครใจร้อน เป็นธาตุไฟ ใครใจเย็น เป็นธาตุน้ำ ใครคล่องแคล่วว่องไว เป็นธาตุลม ใครหนักแน่นมั่นคง เป็นธาตุดิน
“คนที่เกิดเดือน ม.ค. ก.พ. และ มี.ค. เป็นธาตุไฟเจ้าเรือน ซึ่งมักมีความร้อนอยู่ในตัวเอง ผลดีของเขาคือเขาจะมีการเผาผลาญในตัวได้ดี มักไม่อ้วน แต่มักเกิดร้อนใน อาหารที่ดับความร้อนในร่างกาย คือ ผักผลไม้ที่มีทั้งรสขม รสเย็น และรสจืด ไม่ว่าจะเป็น ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว ผักกาดจีน ผักกาดนา ผักกาดนกเขา มะระ ผักปลัง มะรุม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน มะเขือยาว ส่วนผลไม้ต้องยกให้แตงโม มันแกว พุทรา และแอปเปิ้ล”
สำหรับคนที่เกิดเดือน เม.ย. พ.ค. และ มิ.ย. ถือเป็นธาตุลมเจ้าเรือน “บุคคลที่เกิดในเดือนเหล่านี้มักมีลมเยอะ จึงท้องอืดบ่อยๆ แนะนำว่าควรกินผักพื้นบ้านที่ช่วยลดลมในกระเพาะ เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย กระทือ ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักคราดหัวแหวน ชะพลู ผักไผ่ พริกขี้หนู สะระแหน่ หูเสือ ผักแขยง ผักชีลาว ผักชีล้อม ยี่หร่า สมอไทย หรือกานพลู”
ในส่วนของคนที่เกิดเดือน ก.ค. ส.ค. และ ก.ย. เป็นธาตุน้ำ เจ้าเรือน ซึ่งว่ากันว่าจะมีเลือดและน้ำเหลืองมาก “เมื่อมีมากก็จะเป็นหวัดคัดจมูกง่าย ผักผลไม้ที่จะช่วยลดน้ำลงและลดเสมหะได้ดี ต้องมีรสเปรี้ยวนำ อย่างผักพื้นบ้าน เช่น ขี้เหล็ก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะอึก มะเขือเทศ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ ส่วนผลไม้ก็ต้อง ส้ม สับปะรด มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน เป็นต้น
สำหรับธาตุสุดท้าย คือ ธาตุดินเจ้าเรือน นั่นคือคนที่เกิดเดือน ต.ค. พ.ย. และ ธ.ค. มักเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง เพราะธาตุดินเป็นที่ตั้งของกองธาตุ “แต่อย่าให้ป่วยนะ ถ้าป่วยป่วยหนักเลย เพราะฉะนั้น คนที่เป็นธาตุดินควรกินผักผลไม้ที่มีรสฝาด หวาน มัน เค็ม ที่สำคัญ คนธาตุดิน กระเพาะมักไม่ค่อยดีเพราะดูดซับได้ทุกอย่าง การระบายจึงไม่ค่อยดี การแก้คือกินผักผลไม้ที่มีรสต่างๆ ตามที่ว่ามา ในส่วนของผักพื้นบ้านให้กินผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถิน ผักหวาน ขนุนอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง ผักเชียงดา ลูกเนียง บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม ส่วนผลไม้ให้กินมังคุด ฝรั่ง ถั่วต่างๆ และเงาะ ซึ่งมังคุดกับเงาะเป็นของดีของ จ.ระยอง อยู่แล้ว”
พสิษฐ์ตา ยังเผยอีกว่า โดยส่วนใหญ่ผลไม้ของไทยมักมีน้ำตาลสูง เธอจึงแนะนำของดีของชุมชนปากน้ำประแส จ.ระยอง นั่นคือ ชาใบขลู่ ที่มีสรรพคุณทางยาและมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยนำชาใบขลู่ไปชงกับน้ำร้อน ดื่มยามเช้า จะช่วยบรรเทาโรคเบาหวาน ลดไขมันในเส้นเลือด และขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
“อย่างที่รู้ๆ กันว่า ที่ จ.ระยอง มีทุเรียนเยอะ ทุเรียนมีข้อดีคือ มีแร่กำมะถันเยอะ ซึ่งถือเป็นแร่แห่งความงาม ทำให้ผิวเนียนสวย สังเกตว่าผิวของลูกทุเรียนจะเนียนเรียบสวยงาม แต่ทุเรียนก็มีทั้งหวานทั้งแคลอรีสูงทำอย่างไรถึงจะกินทุเรียนแล้วไม่อ้วน ขอแนะนำว่าให้กินตอนเช้า ส่วนใหญ่เรากินข้าวเย็นแล้วต่อด้วยทุเรียน ซึ่งกินแบบนี้กินยังไงก็อ้วน หากเราเปลี่ยนมากินตอนเช้า เรากินแล้วไม่เข้านอนแน่นอน กินแล้วเราทำนั่นทำนี่ ซึ่งจะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดี นอกจากกินมังคุดตามป็นตัวแก้ กินใบกะเพราตามก็ช่วยได้ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้น หากอยากกินทุเรียน กินเสร็จแล้วตามด้วยข้าวผัดกะเพรา ก็ดูน่าสนใจอยู่มิใช่น้อยค่ะ (ยิ้ม)”