posttoday

ถัง-ซ่ง ความภูมิใจในชาติที่ต่างกัน

19 กรกฎาคม 2558

ชาวไทยเชื้อสายจีนชาวแต้จิ๋วมักเรียกตัวเองว่า “ตึ่งนั้ง” แปลว่า “ชาวถัง”

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ชาวไทยเชื้อสายจีนชาวแต้จิ๋วมักเรียกตัวเองว่า “ตึ่งนั้ง” แปลว่า “ชาวถัง” ซึ่งอันที่จริงชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลกก็เรียกตัวเองว่า “ชาวถัง” ทั้งนั้น แต่ในสำเนียงที่ต่างกันไปตามภาษาถิ่นที่ตัวเองอพยพมา

China Town หรือชุมชนชาวจีนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในศตวรรษที่แล้วก็ล้วนมีชื่อแปลจีนเป็นไทยว่า “ถนนชาวถัง”

คำว่า “ถัง” เป็นชื่อราชวงศ์หนึ่งที่ปกครองจีนในช่วงปี ค.ศ.618-907 ชาวจีนมีความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตนในยุคนี้มาก เลยปวารณาติดปากกันต่อมาว่า
ตัวเองเป็นชาวถัง

ราชวงศ์ถังเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน ไม่ว่าขนาดอาณาเขตในปกครอง อำนาจทางเศรษฐกิจ ศิลปะ วรรณกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ล้วนเป็นที่หนึ่งในโลกยุคนั้น

โดยไม่ต้องรู้ว่า ณ ช่วงเวลานั้น อารยธรรมแดนมังกรยิ่งใหญ่กว่ายุโรปหรืออเมริกาหรือไม่ ชาวถังสามารถวัดความภาคภูมิใจจากการเปรียบเทียบกับแว่นแคว้นข้างเคียง หรือแม้แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตของบรรพบุรุษตัวเอง ชาวถังก็รู้สึกว่าชีวิตยุคถังนี่แหละคือชีวิตที่ดี

จวบจนแม้ยุคทองผ่านไป จิตใจชาวจีนก็ยังภูมิใจที่จะเรียกตัวเองเป็นชาวถัง ซึ่งน่าจะแปลได้ว่า หลังจากนั้นก็ยังไม่มียุคไหนดีถูกใจไปกว่ายุคถัง

ชีวิตชาวถังมันดีขนาดนั้นเลยหรือ?

แท้จริงจุดเริ่มต้นราชวงศ์ถังก็เริ่มจากสภาพสังคมวุ่นวายไม่ต่างจากยุคราชวงศ์อื่น

เริ่มจากแผ่นดินจีนก่อนหน้าถัง ผ่านสงครามชนเผ่าที่รุกเข้ามาแย่งชิงอำนาจและพื้นที่กันอย่างวุ่นวาย และยาวนาน สงครามที่มีชนเผ่าหลากหลายเข้าร่วม ทำเอาเชื้อชาติจีนปนเปไปด้วยเชื้อชาติหลากหลาย

แม้แต่ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ถังเอง ก็ไม่ใช่จีนแท้ แต่เป็นลูกครึ่งลูกเสี้ยวกับชนเผ่าเซียนเปย ชนเผ่านอกอารยธรรมจีน

ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ การเข้าปะทะสังสรรค์ของหลายชนเผ่าทำให้อารยธรรมจีนเพิ่มทักษะและปริมาณในการปฏิสัมพันธ์กับประเทศรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น พระถังซัมจั๋ง เดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีป ญี่ปุ่นเข้ามาศึกษาวัฒนธรรมจีน ชาวมุสลิมเข้ามาตั้งรกรากกลางเมืองหลวงของราชวงศ์ถัง (ซีอาน) เส้นทางสายไหมเปิดกว้างอีกครั้ง

และผู้ปกครองยุคนั้นก็เลือกนโยบายที่จะเปิดรับมากกว่าปิดกั้น ร้านหนังสือยุคถังมีหนังสือนานาชาติมากมาย โดยเฉพาะหนังสือของชนเผ่าทู่เจี๋ย (ชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งเป็นกลุ่มบรรพบุรุษของชาวเติร์ก) มีกระทั่งพจนานุกรมแปลศัพท์ของทู่เจี๋ยเป็นจีน

รัชทายาทของฮ่องเต้ถังไท่จงที่ชื่อหลี่เฉิงเฉียน พออยู่ในวงสังคมมักพูดจาเป็นภาษาทู่เจี๋ย (เหมือนคนไทยด้วยกันแต่กลับชอบพูดจากันเองเป็นภาษาอังกฤษ)

ขุนนางบางคนมีบ้านแบบจีนดีๆ ไม่อยู่ กลับกางเต็นท์แบบมองโกลในลานบ้าน แล้วป่าวประกาศโฆษณาสรรพคุณว่า การอยู่เต็นท์แบบนี้สะดวกสบาย เป็นแนวทางเลือกใหม่ของชีวิต

สตรีจีนในยุคถังมีอิสระเสรีมากมาย สตรีชั้นสูงจีนขี่ม้าเล่นโปโล มีชีวิตทางเพศที่อิสระ แต่งงานซ้ำหลายครั้งหลายหน ไม่ต้องผูกชีวิตไว้กับชายใดชายหนึ่ง ส่วนเรื่องอิทธิพลของสตรีที่มีบทบาทในเรื่องการปกครองของราชสำนัก พบเห็นได้ทั่วไป หวู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) ฮ่องเต้หญิงองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน เป็นพยานได้

ศาสนาก็เช่นกัน นานาศาสนิกชนต่างอยู่ร่วมกันได้ และอันที่จริง ศาสนาเช่นศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนานำเข้า ก็ถูกอุปถัมภ์ค้ำจุนอย่างดีโดยราชวงศ์ถัง ทั้งๆ ที่ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังมีแซ่เดียวกับศาสดาลัทธิเต๋า (แซ่หลี่) ถ้าว่ากันตามธรรมเนียมการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังน่าจะกีดกันศาสนาอื่น ผูกขาดให้ลัทธิเต๋าได้ไม่ยาก

ไม่เพียงแต่การเปิดให้ผู้คนในสังคมมีทางเลือกหลากหลาย ราชวงศ์ถังยังมีความใจกว้างกับอารยธรรมอื่น ท่าทีนี้สะท้อนออกมาในภาพวาดราชทูตนานาชาติเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หน้าตาทูตแต่ละชนชาติถูกวาดให้มีท่าทีองอาจสง่างาม

แล้วสวรรค์บนดินแบบราชวงศ์ถังก็ไม่เที่ยงเหมือนทุกสรรพสิ่งบนโลก

ราชวงศ์ถังล่มสลาย บ้านเมืองเป็นศึกซักพัก แล้วราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960-1279) ก็เข้ามาแทนที่

แม้กลับมาเป็นปึกแผ่น แต่ราชวงศ์ซ่งต่างไปจากราชวงศ์ถัง ซ่งถูกมองว่าอ่อนแอ โดยเฉพาะด้านการทหารและธรรมาภิบาล แผ่นดินซ่งถูกชนเผ่านอกด่านรุกรานครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นที่อาณาจักรหดเหลือเพียงน้อยนิด ข้าราชการขี้ฉ้อทั้งหลายก็เห็นแก่เงินและถูกศัตรูซื้อตัวกลายเป็นหนอนบ่อนไส้เปาบุ้นจิ้น งักฮุย และวีรบุรุษในประวัติศาสตร์อีกหลายต่อหลายคนในราชวงศ์นี้มีชีวิตกินอุดมการณ์ที่ไม่ราบรื่นนัก บางรายจบชีวิตลงอย่างอนาถ

เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าอะไรๆ ในราชวงศ์ซ่งจะเลวร้ายไปซะหมด ประวัติศาสตร์มักไม่มีขาวไม่มีดำ ขณะที่ราชวงศ์ซ่งอ่อนแอเรื่องการทหารและธรรมาภิบาล แต่ก็มีสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองสุดขีด ราชวงศ์ซ่งแม้มีแผ่นดินในปกครองเล็กๆ แต่ GDP ของราชวงศ์ซ่งคิดเป็น 80% ของโลกยุคนั้น ดีกว่าราชวงศ์ถังเสียด้วยซ้ำ (ราชวงศ์ถังอยู่ที่ 58%) เอกชนราชวงศ์ซ่งรวยมาก

เพียงแต่รัฐบาลราชวงศ์ซ่งไม่ได้เสพสุขจากความร่ำรวยเท่าที่ควร เพราะต้องเจียดความร่ำรวยส่วนหนึ่งไปเป็นบรรณาการซื้อความ ปลอดภัยจากชนเผ่านอกด่านอยู่เนืองๆ ส่วนเอกชนก็หนาวๆ ร้อนๆ กับข่าวการรุกรานของชนเผ่านอกด่าน

ยุคราชวงศ์ซ่งยังมีความรุ่งเรืองทางศิลปะและวัฒนธรรมมากมาย ซึ่งกลายเป็นรากฐานที่ต่อเนื่องมาเป็นจีนที่เราเข้าใจทุกวันนี้ไม่ว่าด้าน ศิลปะ สถาปัตยกรรมและความเชื่อ

เพียงแต่ศิลปะและวัฒนธรรมที่เฟื่องฟู มีความเป็นจีนที่แยกตัวออกจากวัฒนธรรมรอบข้างอย่างชัดเจน เพื่อประกาศให้ชาวจีนรู้ว่า จีนที่ดีที่สุดคือจี๊น จีน เท่านั้น

รัฐบาลปลอบใจประชาชนว่า เราชาวจีนปกครองกันด้วยศีลธรรมแบบวัฒนธรรมจีนอันรุ่งเรืองเฟื่องฟู คติความเชื่อเรื่องผู้หญิงที่มีเสน่ห์คือ ผู้หญิงที่มีเท้าเล็ก จนนำไปสู่ความเชื่อเรื่องการรัดเท้าที่ทรมานหญิงจีนมาต่อเนื่องอีกหลายร้อยปี ก็เริ่มรุ่งเรืองในยุคราชวงศ์ซ่งนี้เอง

สตรีเท้าใหญ่จะโดนดูถูกว่าต้อยต่ำ ป่าเถื่อน ไม่ต่างจากพวกนอกด่าน นอกอารยธรรมจีน

บางทฤษฎีอธิบายว่า ความกดดันในความพ่ายแพ้ต่ออารยธรรมอื่นของชายชาวซ่ง ส่งผลให้ต้องมากดขี่กับสตรีในวัฒนธรรมของตน

เข้าสูตร ชนะคนอื่นไม่ได้ เลยมาระบาย ทำร้าย กดดัน คนในครอบครัวแทน

และแน่นอน ภาพวาดราชทูตต่างชาติในสมัยราชวงศ์ซ่ง จะถูกวาดให้ดูเหมือนสิ่งอัปลักษณ์ อมนุษย์ โหดเหี้ยมและน่ากลัว

ราชวงศ์ถังเปิดกว้างและภาคภูมิใจในการอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมต่างๆ มากมาย เปิดอิสระให้กับคนในชาติ แต่ราชวงศ์ซ่งกลับปิดกั้นความภาคภูมิใจไว้กับวัฒนธรรมตัวเอง ไม่อยากเจอะเจออารยธรรมอื่น และกลับมากดขี่กลุ่มคนที่อ่อนแอในสังคมตัวเองเช่นสตรี ล้วนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะตนเข้มแข็งจึงไม่เกรงกลัว เพราะตนภาคภูมิจึงไม่กดขี่

เพราะฉะนั้น อาการสร้างภาพความน่ากลัวของต่างชาติ เห็นวัฒนธรรมอื่นสกปรกน่ารังเกียจ เชิดชูวัฒนธรรมตัวเองอย่างสุดโต่ง กดขี่สตรีในวัฒนธรรมตัวเอง จึงถือเป็นเครื่องชี้วัดสภาวะความเข้มแข็งและภาคภูมิของชาตินั้นๆ ได้

ประวัติศาสตร์เป็นดั่งกระจกเงา แล้วในกรณีนี้ละ เราเป็นอย่างไร