กว่างโจว 24 ชั่วโมง
สมมติว่าคุณมีตั๋วไปกว่างโจวแต่สามารถอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมง คุณจะทำอะไร
โดย...กาญจน์ อายุ
สมมติว่าคุณมีตั๋วไปกว่างโจวแต่สามารถอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมง คุณจะทำอะไร
เครื่องบินแตะสนามบินไป่หยุน เมืองกว่างโจว ประเทศจีน เวลาห้าทุ่มกว่า ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดเรื่องสาธารณสุข เพราะมีนักท่องเที่ยวถูกเรียกเข้าห้องตรวจหลังเครื่องจับความร้อนฟ้องว่าเขาตัวร้อนผิดปกติ ไม่ใช่แค่ซักประวัติ แต่ถึงขั้นถูกเจาะเลือดนำไปตรวจหาโรคภายใน 10 นาที ถ้าผลชี้ว่าไม่มีโรคติดต่อถึงได้เข้าเมือง
สนามบินไป่หยุนดูทันสมัยแต่คุ้นตาเสียเหลือเกินเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พอเงยหน้ามองหลังคาเท่านั้นแหละ ร้องอ๋อเลย เพราะเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิมาก ถ้ามองจากภายนอกเห็นตัวอาคารที่เป็นกระจกยิ่งทำให้อุปทานว่าแพลนสร้างเดียวกัน จากสนามบินเข้าตัวเมืองใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง การจราจรเวลานั้นไม่น่าเชื่อว่าเกือบเที่ยงคืนรถจะแออัดอย่างกับหกโมงเย็นบนสุขุมวิท วันแรกที่กว่างโจวจึงเสียไปกับการเดินทาง
เวลาที่ประเทศจีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เจ็ตแล็ก การตื่นยังเป็นปกติ ยืนมองดูแสงที่ค่อยๆ สว่างจากหน้าต่างห้องพัก ขณะที่กำลังสะลึมสะลือแวบแรกตกใจนึกว่ายังอยู่กรุงเทพฯ เพราะตัวเมืองกว่างโจวมีแต่ตึกและอาคารที่กำลังก่อสร้าง รถราก็สัญจรหนาแน่นเหมือนเมื่อคืนจนคิดว่าผู้คนเมืองนี้เขาไม่หลับไม่นอนกันหรือไร
กว่างโจวเป็นหนึ่งในเมืองมณฑลกวางตุ้ง ประชากรในกว่างโจวมีประมาณ 12 ล้านคน มากกว่ากรุงเทพฯ 1 เท่าเศษ ถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้ของจีน ผู้คนส่วนใหญ่จึงเป็นพนักงานบริษัท นักธุรกิจ และมีเศรษฐีใหม่จำนวนมาก
บรรยากาศเมืองนี้แตกต่างจากจีนในความคิดไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำเพราะกว่างโจวมีห้างสรรพสินค้ามากมายให้เลือกใช้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการจราจรเพราะแม้รถจะติดแต่ก็ปลอดภัยจากรถมอเตอร์ไซค์ เมืองนี้มีกฎหมายห้ามใช้มอเตอร์ไซค์ ผู้คนจึงหันมาปั่นจักรยานและจักรยานไฟฟ้าแทนโดยมีเลนจักรยานให้สัญจรโดยเฉพาะ ค่าครองชีพที่เมืองกว่างโจวสูงกว่าเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลักอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง นั่นแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของเมือง ทั้งเป็นศูนย์กลางธุรกิจทางตอนใต้เป็นแหล่งซื้อขายสินค้าแบบค้าส่งของชาวเอเชีย และเป็นฮับสายการบิน
ฟังดูแล้วกว่างโจวเหมาะกับการมาทำงานทำธุรกิจมากกว่าท่องเที่ยว แต่ถ้าบอกว่ากว่างโจวเป็นเหมือนฮ่องกง จะเห็นภาพขึ้นไหม
จริงๆ แล้วบรรยากาศในกว่างโจวดีกว่าฮ่องกงด้วยซ้ำ เพราะบ้านเมืองยังมีที่โล่งให้ทอดสายตา มีต้นไม้ใหญ่ริมถนน (แวบหนึ่งภาพถนนที่สิงคโปร์ก็แทรกเข้ามา) ซึ่งเป็นข้อดีของเมืองที่นำสายไฟลงดินทำให้ต้นไม้มีโอกาสเติบโตเต็มที่
ถ้ามีเวลาในกว่างโจวแค่ 1 วัน สิ่งที่ต้องทำคือ กินและช็อปปิ้ง
พูดถึงเรื่องของกินก่อน อาหารกว่างโจวก็คือ อาหารจีนกวางตุ้งที่คนไทยคุ้นเคย ไม่ได้มีแค่ผัดผักกวางตุ้ง ยังมีเป็ดปักกิ่งที่แยกเสิร์ฟเป็นหนังและเนื้อ ส่วนหนังเป็ดจะแตกต่างจากบ้านเราตรงที่เป็นหนังติดมัน ต้องกินคู่กับแป้งและผัก ราดซอสหวาน ห่อกินเป็นคำเดียวเหมือนเมี่ยง รสเลี่ยนกว่าภัตตาคารจีนในไทย ส่วนเนื้อจะเสิร์ฟมาทีหลัง ผัดซอสรสเค็มกินคู่กับข้าว หรือเมนูเต้าหู้หม้อไฟ เสิร์ฟมาในหม้อหินร้อนระอุ น้ำสีแดงในหม้อจะเดือดผุดๆ แทบปากพอง เป็นเมนูที่น่าจะถูกปากคนไทยเพราะรสจัด เผ็ด แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ความเลี่ยนอย่างอาหารจีน
เรื่องอาหารเลี่ยนมีเรื่องราวเล่าอยู่ 2 แบบ อย่างแรกให้เหตุผลว่าหน้าหนาวเมืองจีนจะหนาวจัด (ทางตอนเหนือของประเทศ) จึงต้องกินอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย อย่างที่สอง เป็นค่านิยมของคนจีนเพื่อแสดงว่าบ้านนั้นฐานะดี เพราะได้ใส่น้ำมันซึ่งเป็นของหายากในอาหารแต่อย่างไรแล้วอาหารก็คือวัฒนธรรม เพราะมันคือวิถีชีวิต ค่านิยม ในสังคมอย่างหนึ่งที่ผู้คนต่างสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
ร้านอาหารมีในห้างสรรพสินค้า ร้านข้างทางจำนวนมากมาย เพราะคนกว่างโจวส่วนใหญ่อาศัยบนตึกจึงจำเป็นต้องกินข้าวนอกบ้านก่อนเข้านอน
เรื่องถัดไป ช็อปปิ้ง ช่วงนี้กลางปีแต่ละห้างแห่กันลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ ห้างที่ใหญ่และฮิตที่สุดต้องยกให้ One Link Walk มีแบรนด์สินค้าละลานตาประมาณว่าเดินอยู่ย่านสยาม แต่ละร้านติดป้ายเซลส์ โดยเฉพาะสินค้าฤดูหนาวที่กำลังลดราคาอย่างบ้าคลั่ง รูปแบบเสื้อผ้าเหมาะกับประเทศไทย เพราะหน้าหนาวที่กว่างโจวเย็นเหมือนภาคเหนือของไทย
ถ้าไปกับบริษัททัวร์จะได้ไปซื้อของที่ Onelink Plaza แหล่งรวมสินค้าขายส่งเหมือนสำเพ็ง ไม่ใช่แค่ขายของหลากหลาย แต่เทรนด์แฟชั่นยังเหมือนที่ไทย ช้าก่อน! หรือไทยไปเหมือนกับเขา เพราะคนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่คือแม่ค้าพูดไทย กำลังขนของถุงเบ้อเริ่มขึ้นรถเข็น
ส่วนราคา ถ้าพูดถึงราคาปกติจะพอๆ กับบ้านเรา แต่เพราะร้านค้าที่กว่างโจวมีขนาดใหญ่ มีของให้เลือกมากกว่า อย่างรองเท้ากีฬามีขายเกือบทุกแบบในเว็บไซต์ และมีร้านแบรนด์เนมที่เป็นเอาต์เลตขายกัน 2-3 ชั้นยกอาคาร ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งละลายทรัพย์ที่สูบเงินมากที่สุดแล้ว
แต่เชื่อหรือไม่ คนกว่างโจวก็เดินทางมาประเทศไทยเพื่อช็อปปิ้งเช่นกัน ตามข้อมูลจาก สันติ แสวงเจริญ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประจำเมืองกว่างโจว ระบุว่า ถ้าชาวจีนคิดจะเดินทางไปต่างประเทศ ประเทศแรกที่เขาจะไปคือประเทศไทย เพราะมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน และเดินทางสะดวกด้วยสายการบินราคาประหยัด โดยจะเลือกไปกรุงเทพฯ และพัทยาเป็นจุดหมายแรกๆ
“ในปี 2557 ชาวจีนเดินทางไทย 4.6 ล้านคนในจำนวนนั้นเดินทางมาจากกว่างโจวประมาณ 9 แสนคน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศจีน” คุณสันติกล่าวและว่า “นอกจากนี้ลักษณะเป็นการเดินทางด้วยตัวเอง 60% อยู่ในไทยนาน 5-7 วัน โดยใช้เงินตลอดระยะเวลาที่อยู่ไทยประมาณ 4.9 หมื่นบาท”ขณะเดียวกันชาวกว่างโจวยังมองหาทะเลไทย ดำน้ำ นอนรีสอร์ท และยังชอบตีกอล์ฟ มาเป็นคู่ฮันนีมูน ซึ่งเป็นทริปราคาแพงที่ดึงรายได้เข้าประเทศได้มาก
เมืองกว่างโจวจึงเหมือนดอกไม้เย้ายวนหมู่แมลง อย่างไทยก็มีสายการบินแอร์เอเชียบิน2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ- กว่างโจว และกระบี่-กว่างโจว เส้นทางละ 1 เที่ยวบิน สันติสุข คล่องใช้ยาผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยแอร์เอเชียกล่าวว่า ในปี 2557 สายการบินมีชาวจีนใช้บริการ 1.4 ล้านคนหรือคิดเป็น 20% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ซึ่งในปีนี้น่าจะมากกว่าเดิมเกินครึ่งเพราะแค่ 6 เดือนที่ผ่านมาก็มีคนจีนใช้บริการแล้ว 7 แสนคน
อย่างไรก็ดีทั้ง ททท. และสายการบิน ยังร่วมกันจัดงานไทยแลนด์ ช็อปปิ้ง พาราไดซ์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางสู่ไทยช่วงกรีนซีซั่นหรือหน้าฝนนี้ โดยในปี 2558-2559 ทาง ททท.จะโปรโมทเมืองรองตามโครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS ทั้ง 24 จังหวัดทั่วไทย เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวและเผยแพร่การท่องเที่ยววิถีไทยให้ต่างชาติได้สัมผัส งานไทยแลนด์ ช็อปปิ้ง พาราไดซ์ ยังจัดขึ้นในประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอย่างเมียนมา สิงคโปร์ และเวียดนามด้วย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางมากว่างโจวจากเส้นทางอื่นๆ เพราะที่ตั้งอยู่ใกล้ฮ่องกง อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮ่องกงเพียง 120 กิโลเมตร รวมถึงมาเก๊าและเสิ่นเจิ้น
กว่างโจวเป็นหนึ่งในนครศูนย์กลางแห่งชาติ (National Central City) กล่าวคือ เมืองที่ทางการจีนต้องการให้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองในภูมิภาค ประกอบด้วย ปักกิ่ง ฉงชิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน กว่างโจว และฮ่องกง อีกเรื่องที่พึงทราบคือ แม้กว่างโจวจะเจริญกว่าต่างเมืองและมีคนต่างชาติทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทางการจีนก็ยังแบนเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น พื้นที่ที่เปิดเสรียังคงจำกัดอยู่ที่เขตการค้าเสรีขนาด 28 ตารางกิโลเมตรในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้เท่านั้น
การเดินทางในตัวเมืองมีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมโยงทั้งเมือง หรือรถเมล์ก็มีภาษาอังกฤษบอกบนตัวรถ หรือถ้าใครอยากซอกซอยควรหาจักรยานสักคัน ปั่นปลอดภัยบนฟุตปาทที่แบ่งเลนให้จักรยาน 1 เลน คนเดินเท้า 1 เลน ที่ต้องระวังก็คงเป็นจักรยานไฟฟ้าที่ได้ข่าวมาว่าในอนาคตอาจถูกสั่งห้ามใช้เหมือนรถจักรยานยนต์
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเมืองนี้ถูกเล่าอย่างขำขันจากไกด์ชาวเสิ่นเจิ้นที่เลือกทำงานในกว่างโจว เคน เป็นชื่อในวงการ เขาพูดภาษาไทยสำเนียงจีน เล่าให้ฟังว่า ในกว่างโจวมีสิ่งที่หายากอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคือ คนท้อง เพราะทางการจีนมีนโยบายลดจำนวนประชากรจึงให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียง 1 คน ถ้าอยากมีลูกคนที่ 2 ต้องเสียเงินให้แก่รัฐ อย่างเมืองเสิ่นเจิ้นบ้านเกิดของเขาต้องเสียเงิน 3 แสนหยวนถ้าคิดจะมีลูกคนถัดไป อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการผ่อนปรนโดยอนุญาตให้คู่สามีและภรรยาที่ต่างเป็นลูกโทนของครอบครัวสามารถมีลูกได้ 2 คน เพื่อแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างประชากรจีน ปรากฏว่ามีการยื่นเรื่องทั้งหมด 21,249 ครอบครัว แต่ทางการอนุญาตเพียง 19,363 ครอบครัว ทั้งนี้หากครอบครัวใดปกปิดและทางการตรวจสอบเจอจะถูกปรับเงินตามระดับรายได้สุทธิ และหากเป็นข้าราชการจะถูกไล่ออกทันที
อย่างที่สองคือ แมวและหมา ปกติคนที่อาศัยอยู่ในอาคารจะไม่เลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว แต่สำหรับคนรวยที่อาศัยในบ้านเดี่ยว ถ้าคิดจะเลี้ยงสัตว์อย่างหมาและแมวจะต้องจ่ายเงินราว 1 หมื่นหยวน/ปี/ตัว และอย่างสุดท้ายคือ มอเตอร์ไซค์ อย่างที่กล่าวไปว่ากว่างโจวมีกฎหมายห้ามใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อลดปัญหาการจราจร คนจึงหันมาปั่นจักรยานแทน เคนยังพูดติดตลกว่า แต่สิ่งที่หายากที่สุดในเมืองนี้ คือ คนท้องขี่มอเตอร์ไซค์อุ้มหมา เขาก็อยากเห็นสักทีเพราะจะถือว่าโชคดีมาก
เวลาครึ่งวันหมดไปกับการซื้อของและเปลี่ยนร้านกิน แต่ถ้ามีเวลาเหลือแนะนำให้ไปขึ้นตึกแคนตัน ทาวเวอร์ (Canton Tower) หอส่งสัญญาณทีวีที่สูงที่สุดในโลก ความสูง610 เมตร ตัวตึกเป็นโครงสีขาวพันเกลียว มีจุดชมวิวอยู่บนชั้น 107-108 สูงขึ้นไปเป็นจุดชมวิวนอกอาคารเรียกว่า488 Look Out สูงจากพื้นดิน 488 เมตร และด้านบนยังมีกิจกรรมท้าความสูงให้เล่น เช่น Bubble Tram ตู้ทรงกลมใสเคลื่อนที่บนรางเห็นวิวเมืองกว่างโจวแบบพาโนรามาและมองได้ไกลถึงเส้นขอบฟ้า และ Sky Drop เครื่องเล่นสุดเสียวมีให้เลือกระหว่างนั่งและยืนหล่นจากความสูงด้วยความเร็วเพียงอึดใจ สำหรับค่าขึ้นแคนตัน ทาวเวอร์ ถ้าคิดเป็นเงินไทยถือว่าสูงทีเดียว แค่ขึ้นไปชมวิวบนชั้น 107-108 จ่ายคนละ 150 หยวนหรือ 450 บาท ซึ่งจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ตั้งแต่เวลา 09.30-22.30 น.
แต่อย่าอยู่เพลินจนไม่เผื่อเวลาไปสนามบิน ตามปกติเดินทางไปต่างประเทศต้องเผื่อเวลาไว้ 2 ชั่วโมง แต่ที่สนามบินไป่หยุนต้องเผื่อไว้มากกว่านั้นประมาณ 3 ชั่วโมงกำลังดี เพราะทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวต่างชาติ ทำให้ทุกขั้นตอนต้องต่อคิวเริ่มตั้งแต่เช็กอิน ตรวจบอร์ดดิ้งพาสตรวจสัมภาระ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่ละขั้นตอนต้องรออย่างต่ำ 30 นาที เพื่อปกป้องตัวเองควรมาแต่เนิ่นๆ และจะได้ไม่รบกวนคนอื่นอย่างที่เห็นหลายคนขอแซงคิวเพราะจะตกเครื่อง
ถ้ามีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในเมืองกว่างโจว มันเป็นไปได้ที่จะสัมผัสเมืองนี้ผ่านอาหารและความเป็นเมืองศิวิไลซ์ เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้กว่างโจวแตกต่างจนทำให้หลายขณะนึกว่าไม่ได้อยู่ประเทศจีน