posttoday

สิ่งที่เห็น กับ สิ่งที่เป็น

06 กันยายน 2558

ดวงตาของยุง มองเห็นแสงความร้อนคล้ายๆ กับกล้องมองความร้อนในตัวคนที่เห็นในภาพยนตร์ รูปร่างของคนจะกลายเป็น

โดย...ดำ รงค์ พิณคุณ ภาพ เอพี

ดวงตาของยุง มองเห็นแสงความร้อนคล้ายๆ กับกล้องมองความร้อนในตัวคนที่เห็นในภาพยนตร์ รูปร่างของคนจะกลายเป็นสีแดงตรงกลาง และสีเหลืองรอบนอกและเป็นมุมมองของยุงที่มองเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก ก่อนที่ยุงจะมุ่งตรงเข้าไปดูดเลือดจากอาหารอันโอชะของมัน

ดวงตาของแมลงวัน มองได้กว้างกว่า180 องศา ลักษณะดวงตาของแมลงวันเป็นตารางต่อกันคล้ายๆ กับรังผึ้งที่ต่อกันเป็นช่องๆ

เมื่อมนุษย์รู้เช่นนั้น จึงทำเครื่องมือขึ้นมาให้แมลงวันมองเห็นในแบบของที่...แมลงวันตกใจ

เราสังเกตได้จากร้านอาหารริมทางหรือร้านส้มตำริมถนน ที่นำน้ำเปล่ามาใส่ในถุงพลาสติกและแขวนไว้ในตู้กับข้าว ซึ่งเมื่อแมลงวันบินมาเห็นถุงพลาสติกใสใส่น้ำผูกเชือกแกว่งไปมา ในสายตาของแมลงวันจึงมองเห็นถุงน้ำเปล่าใสๆ พุ่งเข้ามาหาดวงตา ซึ่งเหมือนเป็น “อันตรายใหญ่หลวง” จึงทำให้แมลงวันต้องบินจากไป

ดวงตาของม้า มีอยู่สองข้างอยู่คนละด้าน สายตาของม้ามองได้กว้างกว่า 180องศา ม้าสามารถวิ่งได้เร็ว รวมทั้งมองได้ไกล

สำหรับม้าแข่ง เมื่อถึงวันแข่งขัน ก็จะต้องมีอุปกรณ์บางอย่างที่บังสายตาของม้าเอาไว้ ไม่ให้มันมองไกลออกทางด้านข้างอุปกรณ์บังตาของม้า เพื่อให้ม้ามองเห็นเส้นทางข้างหน้าเท่านั้น

มนุษย์มีสายตาที่มองเห็นได้ไกลระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ไกลเท่าสัตว์บางชนิด

มนุษย์มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารได้มากมาย

มนุษย์มีการประดิษฐ์แว่นสายตา สำหรับคนมองไกลๆ ไม่ชัด ที่เราเรียกว่า “คนสายตาสั้น”

มนุษย์มีการประดิษฐ์เลนส์อีกแบบสำหรับคนมองใกล้ๆ ไม่ค่อยเห็น เราเรียกว่า “คนสายตายาว”

เมื่อเวลาผ่านไป เราเรียนรู้ที่จะสร้างรถยนต์เป็นยานพาหนะ

เราสร้างบ้านในแนวสูงขึ้น เราเรียกว่าคอนโดมิเนียม

เราใช้เงินทองในการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน

มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าสิ่งมีชีวิตทุกประเภทบนโลก

นานวันเข้า...

สิ่งที่เรามองเห็น มักจะกลายเป็น“ชื่อเสียง + เงินทอง + ทรัพย์สิน”

เมื่อเราก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งของมีค่า หรือสิ่งที่มากเกินความจำเป็น

ดังนั้น การที่เรามีความต้องการทรัพย์สินมีค่าเกินจากความต้องการที่เราใช้ชีวิตอยู่

เมื่อความโลภเข้ามาบดบัง

การมองเห็นของมนุษย์ ก็จะเปลี่ยนไป

สายตาของเรามองเห็นแหล่งความร้อนคล้ายๆ กับยุง ที่ไหนมีความร้อน ที่นั่นอาหารของยุง และที่ไหนมีเงินทองให้เก็บเกี่ยว ที่นั่นจะมีมนุษย์อาศัยมากกว่า เช่น ในเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองหลวงของทุกประเทศ จะเป็นแหล่งทรัพย์สินเงินทอง ที่ทำมาหากินของมนุษย์ และคนมากมายก็จะมาหาตามกลิ่นของเงิน

เมื่อความต้องการของมนุษย์สร้างแรงดึงดูดบางอย่าง เช่น มนุษย์ต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก เราก็สร้างที่อยู่อาศัยในแนวดิ่ง จากพื้นที่เล็กๆ เราสามารถสร้างคอนโดมิเนียมที่มีคนอาศัยได้มากกว่า 500คนได้ ถึงแม้พื้นที่มีจำกัด

เมื่อความต้องการเงินของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จำกัด มนุษย์ที่ฉลาดกว่าก็จะนำทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามาล่อตาล่อใจของเหยื่อ เช่น การมอบโชคต่างๆ เมื่อซื้อสินค้าหรือการมอบรางวัลมูลค่าสูงกว่าสินค้าที่ซื้อหลายพันเท่า และส่วนใหญ่มักจะได้ผล จึงทำให้คนฉลาดกว่า...รวยขึ้นไปอีก

เมื่อเราจำกัดการมองเห็นของเรา ด้วยการใส่ที่บังตาเหมือน “ม้าแข่ง” ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบบังตา

เรามองไม่เห็น “ความดีของคน...ที่ถูกบังเอาไว้”

เรามองเห็นแต่เพียง “ใครรวยกว่ากัน”

เราไม่ได้สังเกตเห็น “ใครดีกว่ากัน”

มนุษย์เราไม่เคยมีการแข่งขันว่า “ใครดีกว่ากัน”

มนุษย์เราไม่สนใจว่าเมื่อไร “เราจะมีความสุขมากกว่าคนอื่น”

เมื่อภาพที่เราเห็น คือ บ้านใครหลังใหญ่กว่า

ดวงตาที่เราเห็น คือ รถยนต์ใครสวยกว่า

ตัวเลขที่เราสัมผัสได้ คือ ใครมีทรัพย์สินมากกว่ากัน

ดังนั้น เราจึงลืมไปอีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราน่าจะมองเห็นตอนที่เรายังมีชีวิต คือ“น้ำใจ และ การแบ่งปัน”

หากโลกของเรามีสิ่งที่เรียกว่า “น้ำใจ”มากกว่า “เงิน” ผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือ“ความสุข” ที่เรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ด้วย “หัวใจ”