posttoday

เสก โลโซ "เรียกผมว่า เจ้าสัว"

19 กันยายน 2558

"ผมตั้งใจทำบริษัทโลโซโฮลดิ้งจำกัด ให้เป็นเหมือนซีพี เหมือนโอสถสภา ไม่ได้ตั้งใจจะทำธุรกิจเล็กๆ"

โดย...พงศ์ พริบไหว ภาพ... วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

หลายปีที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับชีวิตของ เสกสรร ศุขพิมาย นั้นมีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว ครอบครัว หรืองาน วันนี้ดูเหมือนทุกอย่างกำลังกลับเข้าที่เข้าทาง และพร้อมจะก้าวไปทำสิ่งใหม่ด้วยหัวใจอันเป็นสุข เพื่อจะบอกกับผู้คนว่า “ข้าคือ เสก โลโซ” ผู้ชายที่จะเป็นเจ้าสัวในเร็ววันนี้

เปิดบทสนทนาในวันที่แดดร้อนระอุ กับคำถามว่าทำไมเสกอยากมาทำธุรกิจ

“ธุรกิจทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมาจากเบียร์ คือ ธุรกิจเบียร์ เราเองตั้งใจที่จะทำมานานมากแล้วเคยคุยกับบริษัทใหญ่ว่าเราจะทำเบียร์โลโซ แต่คุยกันไม่สำเร็จ ก็เก็บโปรเจกต์ไว้ พอถึงเวลาที่รู้สึกว่าการค้าขายเพลง มันไม่ดีแล้ว เราอยู่แบบเดิมไม่ได้ ลูกน้องเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เลยตั้งใจเริ่มทำธุรกิจ ก็พุ่งไปที่เบียร์เลย ระหว่างที่รอการทำเบียร์นี้แหละ มันก็เกิดสินค้าอื่นๆ ขึ้น อย่างน้ำดื่มที่วางตลาดไปแล้ว เครื่องดื่มชูกำลังจะวางขายเดือน ต.ค. แล้วก็มีครีมจากเกาหลี ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผู้ชายผู้หญิง แล้วที่คนเขาฮือฮามากคือ โทรศัพท์มือถือโลโซ ตอนนี้มีติดต่อมาจากค่ายใหญ่ว่าจะเอาโทรศัพท์เราไปขาย ในขณะเดียวกันเราเองมีร้าน โลโซ ทเวนตี้ทู จะทำเป็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ ชื่อ โลโซทเวนตี้ทู ในความหมายของผมคือ เป็นตัวเลขมหัศจรรย์ที่ได้เรียนรู้มา เป็นตัวเลขแห่งพลังอำนาจ

“ผมตั้งใจทำบริษัทโลโซโฮลดิ้งจำกัด ให้เป็นเหมือนซีพี เหมือนโอสถสภา ไม่ได้ตั้งใจจะทำธุรกิจเล็กๆ เริ่มต้นทำสินค้าออกมา 10 ชนิด ภายใน 3 ปีแรก แล้วค่อยๆ มุ่งไปสู่สินค้าตัวอื่น ธุรกิจที่ผมกำลังทำสร้างเซอร์ไพรส์ให้หลายๆ คน เพราะเขาไม่คิดว่านักร้องอย่างผมจะมีหัวคิดใหญ่โตขนาดนั้น และดันได้รับความสนใจด้วย

“สิ่งที่เราทำมันเป็นเรื่องเดียวกันหมดนะ พอเราทำสินค้าแล้ว เราก็ต้องมีร้านขายของตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากนะ เราแค่บริหารจัดการให้ได้ แล้วผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่มีอำนาจบารมีในการสั่งการ และมีหัวคิดในการสร้างการตลาด ในการสร้างแบรนด์และมีวิธีคิดเรื่องการบริหาร เพราะผมเองก็เป็นผู้บริหารมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย ผมเคยทำเรื่องใหญ่มากกว่านี้มาแล้ว อย่างเช่น การทำอัลบั้มสากล เอาเข้าจริงการทำเพลงยากกว่านี้อีก ต้องรู้เรื่องการตลาดด้วย

“สินค้าของผมก็ทำลักษณะเดียวกันกับการทำเพลง แต่การทำแบรนด์โลโซง่ายกว่าตรงที่เราทำทีเดียวเราขายตลอดชีวิต เพลงเราต้องคิดอัลบั้มต่ออัลบั้ม เหนื่อยฉิบหาย (หัวเราะ) ผมมองว่าการบริหารจัดการสินค้า 10 อย่างมันน้อยมากนะ ถ้าเทียบกับซีพีที่เขาทำสินค้าเป็นร้อยๆ อย่าง แต่คนสนใจเราเยอะ มันเลยเหมือนใหญ่โต จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้ทำคนเดียวนะ ผมมีคนที่มีความรู้เข้ามาช่วยอีกมากมาย

“ผมทำทุกอย่างด้วยความที่เชื่อมั่นว่า ตัวเองมีพลังในการต่อรองเพราะมีแบรนด์ที่ดี แล้วก็มีการเจรจาที่ดี ถ้าสินค้าวางจำหน่ายครบแล้วก็จะมุ่งทำแบรนด์โลโซให้แข็งแรง ทำให้คนรู้จัก แล้วคิดดูคนในประเทศนี้อย่างน้อย 50 ล้านคนต้องรู้จักโลโซอยู่แล้ว ผมคิดว่านี่แหละคือ จุดแข็งของเรา คือคำว่า โลโซ จากนั้นจะเอาตรงนั้นไปต่อยอดก้าวต่อไปในเรื่องของคุณภาพผลิตภัณฑ์ ถ้าเราทำดีมีคุณภาพมันก็ต้องขายได้ซิ เราเองเป็นคนที่เวลาทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำง่ายๆ ทำกระจอกๆ เห็นแบบนี้ผมมีพาร์ตเนอร์ระดับโลกในการทำธุรกิจเลยนะ ในเรื่องการขายเราเคยมีสินค้าอยู่ในท้องตลาดแล้วก็เป็นเรื่องที่ง่ายในการเจรจาวางขายสินค้าของโลโซ

“ธุรกิจที่ผมทำมันคือ ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศ อย่างประเทศไทยเอง เบียร์นี่ถือเป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งการตลาดเยอะที่สุด 125,000 ล้าน ส่วนเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ที่ 35,000 ล้าน ถ้าคนไม่มีความรู้ความสามารถก็คงไม่มีทางทำได้ คือต้องมีวิธีคิดต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล พยายามคิดตลอดเวลาว่าบริหารจัดการยังไงจะทำให้ลูกน้องรัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสำหรับผมมันไม่ได้ยาก แล้วถ้าเราทำมันออกมาได้ดี ธุรกิจของเราก็จะขับเคลื่อนไปได้”

เหมือนกับว่าเสกกำลังเหนื่อยและหนีคำว่าร็อกสตาร์มาเป็นนักธุรกิจ

“ไม่ๆ ผมไม่เคยเหนื่อยกับการเป็นร็อกแอนด์โรลล์สตาร์ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมเก่งที่สุดในชีวิตคือการเล่นดนตรี สิ่งที่เราเก่งก็เอามาใช้งาน ด้วยการสร้างแบรนด์และนำไปขาย ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ มันเกิดมาจากดนตรีเป็นหลัก และผมจะไม่มีวันหยุดร้องเพลง หยุดแต่งเพลง ธุรกิจถือเป็นอีกพาร์ตหนึ่งของชีวิต ตรงนั้นเราแค่บริหารจัดการเอาความรู้ที่เรามีอย่างการตลาด การสร้างแบรนด์ ปกครองคน กระจายงานให้ลูกน้องช่วย โดยที่เราเองก็ยังสามารถไปเล่นดนตรีได้ตามปกติ ซึ่งมันก็ง่ายมากกับการดำเนินชีวิตผม”

เสก โลโซ \"เรียกผมว่า เจ้าสัว\"

เสกในคราบนักธุรกิจแตกต่างอย่างไรกับเสกในบทบาทร็อกแอนด์โรลล์สตาร์

“จริงๆ ไม่แตกต่างกันนะ แต่เวลาผมอยู่ในบทบาทร็อกแอนด์โรลล์สตาร์ ผมก็จะมีดื่มบ้าง แต่เรื่องยาเสพติด เราไม่ยุ่ง เพราะผ่านมาแล้วหนักด้วย (หัวเราะ) ดีที่สามารถกลับมาเป็นคนที่มีสติ มีแนวความคิดที่สมบูรณ์ ซึ่งเราก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้คนอื่นได้รู้ว่า คนที่เสพยาเสพติดหนักอย่างผม ยังสามารถเลิกแล้วกลับมาเป็นคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันเป็นการสะท้อนให้สังคมเห็นว่า คนที่เคยเดินทางผิดอย่างเรา ยังสามารถที่จะเลิกแล้วกลับมาเป็นคนที่มุ่งมั่น มั่นใจในการดำเนินชีวิตได้ สำหรับผมเรื่องอื่นคงไม่แตกต่าง ไม่ว่าจะอยู่บทบาทไหน เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลาในการทำอะไรก็ตาม”

แล้วบทบาทผู้บริหารจะสุดโต่งเหมือนเล่นดนตรีไหม

“ไม่มันส์เท่านะ (หัวเราะ) คือเวลาผมทำงาน ผมมีกฎระเบียบเยอะมาก คือผมโหดนะ จะบอกลูกน้องตลอดว่า ทุกคนต้องมีระเบียบ สนุกสนานได้ แล้วต้องเกรงใจผู้อื่น อย่าเอาเปรียบใคร เพราะเราอยู่ร่วมกัน อย่างผมเองมีลูกน้องที่เคยเป็นทั้งทหาร ตำรวจ เราก็ให้เขาดูแลเรื่องระเบียบ ซึ่งใครอยู่ไม่ได้ก็ต้องออกไป ทำผิดก็ต้องมีพักงาน อย่างผมด่าลูกน้องประจำ อาจจะมีบ้างที่เขาโกรธ แต่เราทำให้เห็นว่าเราจริงใจกับเขานะ

“ถ้าเราไม่มีความจริงใจกับเขา จะใช้เขาอย่างเดียว เราจะพูดหวานขนาดไหนเขาก็รู้ เพราะคนมันไม่โง่หรอก ฉะนั้นเวลาผมทำงานกับลูกน้องผมก็จะให้ความจริงใจ และพอเขาเชื่อว่าเราจริงใจกับเขา เขาก็จะมีความรู้สึกว่า เจ้านายมีความเป็นมนุษย์ที่เข้าใจมนุษย์ด้วยกัน แล้วเราก็จะทำงานได้แบบตรงไปตรงมา

“คือมันต้องมีทั้งบู๊ทั้งบุ๋น อย่างนางแบบสวยๆ ที่มาทำงานด้วย ผมก็ต้องจริงจัง มีกฎมีระเบียบ แม้ว่าจะไม่จำเป็น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดบทลงโทษ (ยิ้ม) แต่ที่แน่ๆ ใครทำงานกับ เสก โลโซ สนุกแน่นอน เพราะผมคิดเรื่องมันส์ๆ ตลอดเวลา”

เสก โลโซ \"เรียกผมว่า เจ้าสัว\"

การทำธุรกิจตั้งใจจะไปถึงจุดสูงสุดเช่นดนตรีไหม

“แน่นอน ไม่ได้แช่งนะ ในอนาคตเจ้าสัวต่างๆ ก็จะจากไป ผมคงกลายเป็นเจ้าสัวคนใหม่แทน เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศก่อนอายุ 50 ปี ซึ่งในอนาคตผมว่า ผมจะรวยมากอันนี้เรื่องจริง (หัวเราะ) ที่บอกว่าจะเป็นเจ้าสัวเป็นได้ยังไง ถ้าเกิดเบียร์โลโซสามารถได้ส่วนแบ่งตลาดมาแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศนี้ นั่นแปลว่า ปีเดียวเราจะได้เงิน 12,000 ล้าน แต่เราจะขายเบียร์โลโซไปทั่วโลกเลยนะ แล้วเครื่องดื่มชูกำลังอีก ถ้าเราแชร์ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งตลาดก็จะได้ 3,500 ล้านบาท คิดดูซิ คือไม่ต้องคิดถึงว่าได้ตัวเลขขนาดนั้นในส่วนแบ่งตลาดก็ได้นะ อีก 10 ปี เราทำไมจะไม่มีเงินถึงหมื่นล้านล่ะ”

ไม่คิดว่าคนอื่นจะหาว่า เพ้อฝัน

“เฮ้ย! ผมไม่ได้เพ้อนะ ถ้าเชื่อว่าทำได้ เราจะทำได้ทุกอย่าง ผมเชื่อในพลังของผม เชื่อในมันสมองและอำนาจบารมี ซึ่งอันนี้แหละที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ มันมาจากหลายสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ทั้งประสบการณ์ชีวิต ทั้งจากการอ่านศึกษา คือจริงๆ ไม่มีคนรู้นะว่า ผมเองเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้มาก ผมอ่านได้ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ ซึ่งมันทำให้ผมเรียนรู้จนเข้าใจว่า ทุกอย่างในชีวิตเป็นเรื่องเดียวกันหมด คือถ้าเราพยายามเราจะประสบความสำเร็จแน่นอน ซึ่งตรงนี้เราจะเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรามีหัวใจที่เปิดกว้าง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในตัวเองมาตลอด

“ยกตัวอย่างล่าสุดโทรศัพท์โลโซยังไม่ทันจะเสร็จ ก็มีคนมาขอเป็นตัวแทนจำหน่ายแล้ว ซึ่งถ้าตกลงสัญญากันได้ โทรศัพท์เราก็จะขายได้เยอะ นั้นหมายถึงธุรกิจมโหฬารมาก (เสียงสูง) ซึ่งพอพูดถึงโทรศัพท์ขอเล่าหน่อยขายของ ตอนนี้เราคิดว่าโทรศัพท์เป็นแหล่งรวมของทุกสื่อในโลกนี้ คนเสพสื่อผ่านโทรศัพท์กันหมดแล้ว มันติดตัวคนอยู่ตลอดเวลา ผมเองยังขาดไม่ได้เลย คิดมาดีมากแล้วว่ายังไง แบรนด์โลโซก็ต้องมีโทรศัพท์เป็นสินค้า แล้วเราจะมีแอพพลิเคชั่นที่รวมเพลงของโลโซให้ฟังกันฟรีทั้งหมด ในอนาคตเราก็จะทำคอนเทนต์อื่นด้วย ซึ่งไม่มีใครทำมาก่อนแน่นอน นั่นคือความพิเศษของสินค้าเรา ซึ่งมันจะกลายเป็นแบรนด์ที่ติดตัวผู้คนไปตลอดเวลา

“ผมสบายๆ นะ สิ่งที่ผมมีนี่คนอื่นน้อยคนจะมี อย่างน้อยผมก็มีเมียเยอะที่สุดในประเทศ อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ (หัวเราะ) จริงอยู่ว่า การเป็นเจ้าสัวก่อนอายุ 50 ปี เป็นเรื่องยาก แต่ผมเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจมันก็เหมือนกับเรื่องของความรัก เราต้องบริหารจัดการให้ได้ มีทั้งเรื่องของรัฐศาสตร์ เรื่องของวาทศิลป์ เรื่องของการใส่ใจดูแล เรื่องของการให้ การช่วยเหลือ ทุกอย่างในเรื่องความรักเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจหมด แล้วผมก็ถนัดเรื่องของการจีบสาวเสียด้วย ผมมองว่าเนี้ยเป็นเรื่องเดียวกันกับการทำธุรกิจ ฉะนั้นใครจะด่าจะว่าผม ผมไม่ใส่ใจหรอก ผมก็จะยังมองการทำธุรกิจเช่นเดียวกับการมองความรัก”

เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเหมือนแรงผลักดันให้อยากทำธุรกิจเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

“ไม่นะ ผมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรแล้ว ผมพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าผมเป็นของจริง ทุกคนในประเทศเขารู้แล้วว่าผมไม่ใช่ของปลอม ฉะนั้นการทำธุรกิจมันไม่ใช่การที่ต้องมาพิสูจน์ตัวเอง แต่มันคือความท้าทายของผม มันอยู่บนความฝันที่ผมมี และจุดมุ่งหมายที่ใหญ่โตมาก คือผมเป็นคนคิดไปไกลนะ คือต้องมานั่งฟังกันยาวๆ ว่าทำไมเราถึงรู้สึกหรืออยากร่ำรวยอะไรขนาดนั้น

“พูดให้ฟังสักหน่อย เรามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราอยู่นะ ไม่ใช่เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้น แต่เราจะเอาเงินที่เราได้ไปช่วยเหลือคน นั่นคือความสุขและเป้าหมายชีวิตของเสก โลโซ คือมันเป็นความยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืนมากสำหรับเรา ซึ่งถ้าทำจนไปถึงความฝันตรงนั้นได้ ในที่สุดคนจะจดจำเสกที่เป็นยิ่งกว่าราชาร็อกแอนด์โรลล์คนแรกของประเทศ และมันจะคงอยู่ตลอดไป” 

เสก โลโซ \"เรียกผมว่า เจ้าสัว\"

กลัวล้มหรือไปไม่ถึงฝันหรือเปล่า

“ไม่กลัวล้ม เพราะเราเคยล้มมาแล้ว หากล้มอีกก็ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกเลย (ยิ้มนิ่งคิด) เพราะว่าผมมีความฝันไง คือถ้าผมแก่จะเอาเงินให้ลูก และที่ทำธุรกิจเยอะแบบนี้ก็เพื่อให้บรรดาเมียๆ ทั้งหมดดูแลธุรกิจ เขาจะได้ไม่ลำบาก จากนั้นเราก็อยากให้เงินครึ่งหนึ่งที่หามาให้โลกนี้ เอาไปช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือประเทศชาติ ทุกวันนี้เราก็คิดแบบนั้น เพราะเราอยู่อย่างสบายแล้ว อยู่ด้วยจิตใจที่ปล่อยวาง ยิ่งตอนนี้แทบจะไม่มีความกดดันใดๆ เลยในชีวิต”

ผู้ชายอย่าง เสก โลโซมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

“คือเรามาถึงจุดที่รู้สึกว่า เวลาเราพูดอะไรออกมาจากใจ ทำงานออกมาจากใจ เรามีความสุขมากเลย ทำให้ทำงานอย่างสนุกสนาน ตอนนี้ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลยนะ แต่ก็ไม่เหนื่อย เหมือนกับว่าการทำงานเป็นการได้พักผ่อนมากกว่าได้ระบายบางสิ่งที่อยากพูดกับคนอื่น พอทำงานเสร็จก็มีไปเตะบอล ไปวิ่ง ถ้านางแบบไลน์มาหา เราก็ชวนไปกินข้าว (หัวเราะ) ชีวิตแบบนี้มีความสุขดี เพราะเราคิดแต่เรื่องดีๆ ไง แต่ถ้าเราคิดแต่เรื่องไม่ดี เราก็จะขุ่นมัว มันจะทำงานไม่มีความสุข ซึ่งตอนนี้ผมมีความสุขดีในจุดนี้ จุดที่ยืนอยู่ในฐานะซีอีโอร็อกแอนด์โรลล์สตาร์”

เสกยังคงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาทั้งปากและใจ บางช่วงบางตอนของวิธีคิดเสกในการทำธุรกิจ ก็น่าทึ่งเสียจนเราเก็บมาเล่าไว้ไม่หมด แต่เหนืออื่นใดภาพเจ้าสัวเสก ดูจะเป็นสิ่งที่คนทั้งประเทศเฝ้าจับตามอง

เสก โลโซ \"เรียกผมว่า เจ้าสัว\"