หลัวผิง อลังการดอกไม้สีเหลือง
ช่างน่าเสียดายที่คนไทยยังไม่รู้จักเมืองหลัวผิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ : มารพิณ
ช่างน่าเสียดายที่คนไทยยังไม่รู้จักเมืองหลัวผิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ทำให้พลาดชมความอลังการของทุ่งดอกไม้สีเหลืองอย่างเขาคนนี้ มารพิณ เจ้าของบล็อกท่องโลกเที่ยวไทยไปกับมารพิณทาง youtube.com/feelthai และ feelthai.blogspot.com ที่เสาะหาที่เที่ยวแปลกๆ จนพบความงามแห่งธรรมชาติอันไกลโพ้น
ดอกสีเหลืองสดที่ว่าคือ ต้นโหยวไช่ฮวา (ภาษาอังกฤษคือ Rapeseed) เกษตรกรชาวจีนปลูกเพื่อเก็บเมล็ดทำน้ำมันประกอบอาหาร แต่ก่อนที่จะแตกเมล็ด มันจะออกดอกบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่ง ซึ่งเมืองหลัวผิง มณฑลยูนนาน เป็นแหล่งปลูกโหยวไช่ฮวาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน อยู่ห่างจากคุนหมิงไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 กม. เกือบถึงมณฑลกว่างซี
มารพิณให้ข้อมูลว่าช่วงเวลาจะเกิดขึ้นไม่แน่นอนโดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ “มันจะบานช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงรอยต่อฤดูร้อน แต่ละปีมันบอกไม่ได้ว่าจะบานเมื่อไหร่ต้องกะระยะเอา โดยมากคือช่วงปลายเดือน ก.พ.ถึงต้นเดือน มี.ค. เพราะฉะนั้นจะวางแผนยาก ต้องสแตนด์บายเพื่อรอข่าวว่ามันจะบานเมื่อไหร่” เขายังกล่าวด้วยว่า สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวจีนอยู่แล้ว แต่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักเพราะอยู่นอกเส้นทางท่องเที่ยว และยากที่จะกำหนดเวลาชัดเจนทำให้ไม่มีบริษัททัวร์จัดโปรแกรม
การเดินทางไปเมืองหลัวผิง ต้องนั่งเครื่องบินไปลงคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน) จากนั้นหารถไปยังสถานีรถบัสสายตะวันออกซึ่งเขาแนะนำให้หารถเมล์แทนการเรียกแท็กซี่ เพราะท่ารถบัสอยู่ไกลจากสนามบินมาก เมื่อถึงสถานีรถบัสสายตะวันออกให้หาป้ายเมืองหลัวผิง (Luoping) ซื้อตั๋วและเดินทางต่อไปอีก 4-5 ชั่วโมง ซึ่งในชั่วโมงที่ 3 จะเห็นดอกโหยวไช่ฮวาบานริมทางอันเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดหมาย
ส่วนที่พักในเมืองหลัวผิงมีจำนวนไม่มาก โดยเฉพาะช่วงดอกไม้บานด้วยแล้วยิ่งหาที่พักยากขึ้นไปอีก เขาจึงแนะนำว่า “เจอที่พักที่ไหนว่างก็ให้คว้าไว้ก่อน” พอลองเสิร์ชหาที่พักในอินเทอร์เน็ตจะพบแค่ในทริปแอดไวเซอร์ แต่ไม่พบในเว็บไซต์จองที่พักออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวยืนยันว่าเมืองนี้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวของชาวต่างชาติโดยแท้
ทว่านักเดินทางคนใดที่สามารถฝ่าฟันไปจนถึงเมืองหลัวผิงได้แล้ว ไปถูกจังหวะตรงกับช่วงที่ดอกไม้บานพอดีแล้ว อย่าลืมสิ่งที่ต้องทำที่สุดคือ ขึ้นไปจุดชมวิว มารพิณแนะจุดชมวิวที่ใกล้ที่สุดห่างจากตัวเมือง 2-3 กิโลเมตร อยู่ที่จินจีหลงหรือเนินไก่ทอง ลักษณะเป็นเนินท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลือง จากมุมสูงทำให้เห็นทุ่งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทิวเขาซ้อนตัวกันสวยงาม ชมวิวได้แบบ 360 องศา และสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดโดยที่ไม่ต้องกลัวผึ้งรบกวน เพราะบริเวณทุ่งด้านล่างต้องระวังผึ้งจำนวนมากที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ให้มันเก็บเกสร “ให้เตรียมยาหม่องไปด้วย เพราะว่าอาจจะโดนผึ้งต่อย” เขาแนะนำ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวลอง คือ นั่งรถเทียมควายชมทุ่งดอกไม้ กิจกรรมที่บ่งบอกว่าหลัวผิงเป็นเมืองเกษตรกรรมแท้จริง และหากอยากไปเที่ยวที่อื่นๆ เขาแนะนำให้เหมารถเป็นวัน (ราคาสูงพอสมควร) เช่น ถ้าไปยังจุดชมวิวจินจีหลงก็สามารถไปเที่ยวน้ำตกจิ่งหลงพู่ปู้ (แปลเป็นไทยว่าน้ำตกเก้ามังกร) เป็นหนึ่งในน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดของจีน ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่ แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือ น้ำตกมังกร สูง 56 เมตร กว้าง 112 เมตร ซึ่งมีแอ่งน้ำให้ลงเล่นได้ หรือจะออกไปเที่ยวนอกราว 45 กิโลเมตร เพื่อไปชมหมู่บ้านชนกลุ่มน้อยปู้อี (Buyi minority) ที่มีความน่าสนใจตรงที่มีข้อมูลจากนักวิชาการทั้งไทยและจีนระบุว่า ภาษาปู้อีมีความใกล้ชิดกับภาษาไทย ซึ่งผู้คนมีวัฒนธรรมผสมระหว่างจีนและทิเบตอันเป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ภายในเมืองหลัวผิงเองก็มีรถประจำทางให้บริการ ติดแค่ว่านักท่องเที่ยวพูดภาษาจีนไม่ได้ และคนจีนพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น “เที่ยวเมืองจีนไม่มีเทคนิคอะไรมาก คือต้องรู้ภาษาจีน ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ แค่รู้แบบฝึกพื้นฐานมาก็ไปได้ หรือหาตำราพกไปด้วยไว้ใช้ยามจำเป็น” มารพิณ กล่าว
สรุปแล้วว่าใครคิดจะไปแหวกว่ายในทะเลสีเหลืองแห่งเมืองหลัวผิง อย่างแรกสุดคือต้องมีเวลา เพราะเมื่อไปถึงแล้วดอกไม้บานจริงแต่ยังบานไม่สวยอาจต้องให้เวลามันอีก 3 วัน และที่สำคัญคือต้องให้เวลาตัวเองซึมซับสีสันแห่งฤดูกาลที่หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวให้มากที่สุด ส่วนอย่างอื่นๆ ก็เป็นเรื่องของจิตใจที่ต้องอดทนกับการเดินทางไกล และปรับตัวในเมืองต่างวัฒนธรรมต่างภาษาเป็นเวลานาน
มารพิณเขียนลายแทงไว้แล้วในบล็อกของเขา รอแต่ผู้กล้าคนถัดไปไปตามรอย เอาเป็นว่าปลายเดือน ก.พ.ถึงต้นเดือน มี.ค.ปีหน้า ใครพร้อมที่จะเดินทางไกลไปชมทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่าม ไปพบกันบนจุดชมวิวแล้วถ่ายเซลฟี่กัน!