ส่อง ‘เกาหลีใต้’ ในวันไร้เมอร์ส และสัญญาสงบศึก (ชั่วคราว)
หลังการระบาดของไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้เริ่มคลี่คลายลง ที่ขณะนี้รัฐบาลมีความพยายามอย่างหนักที่จะฟื้นความเชื่อมั่น
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
หลังการระบาดของไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้เริ่มคลี่คลายลง ที่ขณะนี้รัฐบาลมีความพยายามอย่างหนักที่จะฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวให้เดินทางกลับมายังประเทศเกาหลี โดยเฉพาะแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวที่กำลังจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องนับจากนี้
ด้วยในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา “คนไทย” นับเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักต่อการโปรโมทแผนการท่องเที่ยวภายในประเทศเกาหลี หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาแล้ว ในการส่งออกวัฒนธรรมบันเทิงอย่าง เค-ป๊อป ละครเกาหลี ไปจนถึงวัฒนธรรมอาหารต่างๆ ที่ต่อยอดให้ผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย หรือเอสเอ็มอีจากแดนกิมจิ เข้ามาขยายการลงทุนการทำธุรกิจต่อได้ในเมืองไทยอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์ที่น่าสนใจต่อการดึงความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวไทยที่หายไปเกือบ 100% ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.ที่ผ่านมานี้ คือ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ธุรกิจเกาหลีหลายรายที่ออกโรงขนทัพสื่อมวลชนในประเทศต่างๆ ให้มาเยือนประเทศ เพื่อหวังใช้เป็นพลังสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวให้คืนกลับมาโดยเร็ว
ขณะที่เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศเกาหลีอีกครั้ง ผ่านโครงการ “2015 SNU-LG Press Fellowship” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง LG Sangnam Press Foudation และมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (SNU-Seoul National University) โครงการฝึกอบรมผู้สื่อข่าวประเทศต่างๆ จากทั่วทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน
และในปีนี้มีตัวแทนจาก 8 ประเทศเข้าร่วมโครงการ คือ บราซิล จีน เม็กซิโก อินเดีย โปแลนด์ รัสเซีย ไทย และเวียดนาม โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้สัมผัสความเป็นอยู่เกือบทุกมิติในเกาหลีร่วม 3 สัปดาห์เต็ม
‘โซลแด’ มหาวิทยาลัยอันดับ 1
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของโครงการ ถือเป็นการย้อนเวลากลับไปสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องอาศัยใน Hoam Faculty House ซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ที่สามารถเดินจากที่พักไปยังตึกเรียนทุกเช้าได้สบายๆ ในระยะทางราวๆ 300 เมตรเท่านั้น
สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล หรือที่คนเกาหลีนิยมเรียกกันในชื่อ “โซลแด” เป็นการรวบคำมาจาก โซล-แด-ฮากโย (Seo-ul-dae-hak-kkyo) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาล มีชัยภูมิตั้งอยู่บนภูเขา อยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงไปทางใต้ ที่นอกจากจะมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ แล้ว ยังมีความรื่นรมย์จากบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ ควบคู่ไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงแรม ที่พัก เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ฯลฯ
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของโซลแด คือ ห้องสมุดเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการอ่านหนังสืออย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งผลิตคนเก่งระดับหัวกะทิของประเทศเกาหลี และผู้มีชื่อเสียงออกมาแล้วหลายต่อหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บันคีมุน (Ban Ki-moon) เลขาธิการสหประชาชาติ คนที่ 8 และปัจจุบัน
สำหรับการเรียนการสอนตลอด 2 สัปดาห์ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนรู้ในรายวิชาพื้นฐานต่างๆ ที่ก่อเกิดให้เป็นรากฐานของชนชาติเกาหลี ตั้งแต่วัฒนธรรม ภาษา ไปจนถึงการเมืองและเศรษฐกิจ พร้อมปิดท้ายการบรรยายในหัวข้อ “โกลบอล คอมมูนิเคชั่น” โดย ดร.ควางยังชูศาสตราจารย์ภาคการสื่อสาร และผู้อำนวยการโครงการ ซึ่งเป็นผู้วางหลักสูตรรายวิชาต่างๆ ได้มาบอกเล่าถึงทิศทางการสื่อสารโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
รวมถึงไฮไลต์ กิจกรรมเวิร์กช็อปที่ให้ตัวแทนแต่ละประเทศออกมานำเสนอในหัวข้อ “The Contemporary Press System and Journalism in Fellows’ Nations” ที่แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมการสื่อสารที่แตกต่างกันจากสำนักข่าวแต่ละแห่ง ทั้งสถานีโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือหนังสือพิมพ์
แต่มีจุดสำคัญที่เพื่อนๆ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การบริโภคหรือการเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารกำลังเปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน จากปัจจัยสื่อดิจิทัลและพฤติกรรมของผู้คนที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลการสื่อสาร โดยเฉพาะการเข้ามาของสื่อออนไลน์ที่กำลังจะทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ถึงจุดจบในอนาคตอันใกล้
ต่อเรื่องนี้ ศาสตราจารย์ชูได้ตั้งคำถามในชั้นเรียนว่า “ทำไม? สื่อสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย และหันไปสู่รูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น” ซึ่งมีหนึ่งในพวกเราได้แสดงความเห็นออกไปว่า “เป็นเพราะความต้องการรายได้ เพื่อทำให้ธุรกิจสื่ออยู่รอด” จากคำตอบเช่นนี้ ศาสตราจารย์ชูได้ทิ้งข้อคิดไว้กับพวกเราว่า
….นั่นเป็นเพราะนักหนังสือพิมพ์เปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม จากจุดเดิมหนังสือพิมพ์เกิดและอยู่ได้จากอุดมการณ์ แต่ตอนนี้อยู่ได้เพราะเงินอย่างนั้นหรือ?
กิน อยู่ อย่าง กิมจิ
สำหรับอาหารการกินในเกาหลีนั้น เราจะได้เห็นเครื่องเคียงสารพัดผักดอง ที่จัดวางในจานใบเล็กๆ ไม่ต่ำกว่า 5 จาน ที่ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับอาหารจานหลักอยู่เสมอ โดยเฉพาะ “กิมจิ” ผักกาดดองรสเผ็ดเค็มและเปรี้ยว ซึ่งจะต้องมีจานเคียงเหล่านี้อยู่ในทุกมื้ออาหาร
ส่วนมื้อพิเศษนั้น “คนเกาหลี” จะต้อนรับแขกด้วยเมนูอาหารจากเนื้อวัว ด้วยเป็นเนื้อสัตว์ที่มีราคาแพงมากในประเทศเกาหลี และไม่ได้มีการรับประทานกันบ่อยครั้งนัก ที่สำคัญในบางเมนู อย่างข้าวยำเกาหลี หรือ “บิม บิม บับ” บางสูตรจะแล่เนื้อวัวดิบๆ โปะไว้บนหน้าข้าวด้วย
ส่วนในมื้ออาหารในชีวิตประจำวันทั่วไป คนเกาหลีจะกินง่ายอยู่ง่าย มีแค่เพียงข้าวสวย เครื่องเคียง น้ำซุป เนื้อสัตว์เล็กน้อย หรืออาจตั้งวงสังสรรค์กันด้วยหม้อไฟใส่เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เส้นราเมน ซึ่งก็มีหลายรสชาติ ทั้งซุปรสเผ็ดซีฟู้ด กิมจิ ชีส ฯลฯ และหลายวิธีให้รับประทาน ทั้งกินคู่กับข้าวสวย หรือเมื่อน้ำซุปเหือดใกล้หมดหม้อแล้ว ก็สามารถนำข้าวสวยใส่เข้าไปผัดจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวไหม้ที่ติดกับกระทะหม้อไฟ ที่หลายคนรวมถึงคนเกาหลีเองชอบมากที่จะได้ขูดข้าวไหม้จากกระทะออกมาทาน ที่ต้องบอกว่าอร่อยแล้วอร่อยอีก
ด้านความเป็นอยู่นั้น ที่ในวันนี้หลายประเทศต่างมองว่าเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอันน่าทึ่งในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในย่านกังนัม (Gangnam) ย่านการค้า ธุรกิจสำคัญตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงกรุงโซล ชื่อสถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีผ่านกระแสเพลงและท่าเต้นควบม้าสุดฮิตของไซ (Psy) นักร้องเกาหลี ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตผู้คนในย่านกังนัมในกรุงโซลที่รุ่มรวยและฟุ้งเฟ้อ เมื่อช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความตั้งใจร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเกาหลี ที่ต้องการโปรโมทชื่อย่านการค้าแห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก
ปัจจุบันย่านการค้าดังกล่าว ยังได้วางแลนด์มาร์คสัญลักษณ์“Gangnam Style” เอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเมื่อมาเยือน นอกเหนือจากการไปช็อปปิ้งในร้านรวงต่างๆ ที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชนชาติเอเชียอย่างชาวจีน ที่วันนี้ได้กลายเป็นกำลังซื้อหลักและหนักมาก ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบเห็นแต่กลุ่มทัวร์จากแดนมังกร
พร้อมกับที่เรายังได้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดระหว่างคน 2 รุ่น “รุ่นใหญ่” และ “รุ่นใหม่” ที่ปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหญ่ผ่านตัวผู้สอนในมหาวิทยาลัยโซลแด ยังมองเห็นถึงความมุ่งมั่นในการรวมชาติของคนเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งในช่วงที่เราไปถึงเกาหลีใต้นั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลเกาหลีทั้งสองประเทศ เพิ่งเจรจายุติการยิงปะทะกันบริเวณชายแดนเกาหลีชั่วคราว ซึ่งเป็นสถานการณ์อันตึงเครียดอย่างหนักทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา และทั่วโลกต่างจับตามอง
ในมุมกลับกัน ต่อความเห็นของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากโซลแดที่มาเป็นพี่เลี้ยงดูแลผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการ หนึ่งในนั้นให้ความเห็นว่า ไม่ได้กังวลมากนักต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยทุกคนยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งก็ยังรวมไปถึงแนวคิดทางการเมืองด้วย ที่คนเกาหลีรุ่นใหม่จะชื่นชอบคู่แข่งการเลือกตั้งอย่าง มุนแจอิน มากกว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ส่วนการรวมชาตินั้นไม่ได้เป็นเรื่องหลักในเวลานี้
ซึ่งจากข้อมูลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในปี 2555 ที่ปาร์กกึนเฮได้รับชัยชนะด้วยฐานคะแนนเสียงทั้งประเทศ 51.6% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนผู้ใหญ่ และอยู่ในต่างจังหวัด ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง มุนแจอิน ที่ได้รับคะแนนเสียง 48% ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และคนในเมืองหลวงมากกว่า
ขณะที่ ศาสตราจารย์ ซุงกวานปาร์กมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ให้มุมมองต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในขณะนี้ว่ามีความน่าเป็นห่วงมากกว่าที่รัฐบาลในประเทศอื่นๆ จะยึดเป็นแบบอย่างในการพัฒนาประเทศ ตามที่ บารักโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หันมาให้ความสนใจต่อการเจริญเติบโตแบบรุดหน้าของเกาหลี จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้วัฒนธรรมบันเทิงเป็นทูตการส่งออก และการทำตลาดที่สามารถแนะนำเกาหลีใต้ให้เป็นที่รู้จักได้ในทั่วโลกภายในทศวรรษที่ผ่านมา
ด้วยปัจจุบันเศรษฐกิจหลักของเกาหลีที่แข็งแกร่งได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากภาคเอกชนยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุงที่เป็นแกนหลักจากกิจการหลายร้อยแห่งทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และหากวันใดที่ซัมซุงล้ม นั่นก็หมายถึงประเทศเกาหลีอาจจะต้องล้มลงด้วย ในขณะที่เกาหลีใต้ในวันนี้เริ่มขาดจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมที่แท้จริงไปแล้ว
เที่ยวเมืองมรดกโลก
ในช่วงสุดสัปดาห์ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามที่โปรแกรมวางไว้ อย่างในเมืองหลวงกรุงโซลก็มีหลายแห่งที่คนไทยรู้จักกันดี เช่น พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโซล หอคอยโซลทาวเวอร์ หรือ N Seoul Tower อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาสัมผัสจุดพีกของหอคอยด้วยความสูง 236.7 เมตร และเมื่อก่อนถึงทางเข้าจะมีกิมมิกสำหรับคู่รักและนักท่องเที่ยว ด้วยพิธีกรรมการคล้องกุญแจคู่รักบริเวณราวสะพาน
จีนาปาร์ก นักศึกษาโซลแด เล่าให้ฟังพร้อมเสียงหัวเราะว่า การคล้องกุญแจคู่รักบนสะพานจะเป็นการนำแม่กุญแจไปคล้องกับรั้วเหล็ก ส่วนลูกกุญแจก็จะทิ้งไป ด้วยมีความเชื่อกันว่าหากคู่รักคู่ใด ได้มาเยือนและคล้องกุญแจคู่รักกันที่นี่ จะทำให้ความรักของทั้งคู่ยืนยาว ไม่พรากจากกันไปตลอดกาล ซึ่งเธอเองก็เคยทำพิธีกรรมนี้เช่นกัน แต่ปัจจุบันเธอเองมีแฟนใหม่ไปแล้ว ส่วนคู่ไหนอยากพิสูจน์ความขลังคงต้องลองมาเอง
โดยในช่วงเวลาที่อยู่ในกรุงโซลนั้นจะเห็นว่ามีการจัดงานอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างต่อเนื่อง นัยเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของคนในประเทศให้ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันให้มากๆ บางงานก็ดูคล้ายๆ งานแสดงสินค้าโอท็อปในบ้านเราก็มี ที่มีการนำเอาสินค้าพื้นเมือง ของกินของใช้ของคนท้องถิ่นมาออกบูธขายตั้งอยู่ในใจกลางเมือง หรือหากเดินไปยังย่านช็อปปิ้งอย่างตลาดเมียงดง ก็จะพบร้านรวงต่างๆ มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายกันเต็มที่
นอกจากแหล่งท่องเที่ยวในเมืองหลวงแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้พยายามส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกหลายแห่งในประเทศ อย่าง เกาะเจจู (Jeju Island) ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศคล้ายๆ กับเกาะภูเก็ตในบ้านเรา ที่คนเกาหลียกให้เป็นเกาะสวรรค์ทางธรรมชาติของทะเลแปซิฟิกเหนือ จากสภาพภูมิอากาศสบายๆ ตลอดทั้งปี อย่างในหน้าร้อนอากาศจะสูงสุดไม่เกิน 35.8 องศาเซลเซียส หรือในหน้าหนาวมีอุณหภูมิต่ำสุดไม่เกิน ลบ 2.3 องศาเซลเซียสในตัวเมืองเจจู
เกาะแห่งนี้ยังมีความสำคัญเชิงธรณีวิทยา จากสภาพภูมิประเทศที่เกิดจากการยกตัวของหินลาวาภูเขาไฟ เมื่อราว 700-1,200 ปีก่อน ที่ปัจจุบันยังมีลูกภูเขาไฟ ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่าเป็น เบบี้ โวลคาโน (Baby Volcano) หลายลูกหนึ่งในนั้นคือ ภูเขาฮาลาซัน (Hallasan Mountain) ตั้งอยู่ตรงกลางของเกาะเจจู มีความสูงของยอดเขา 150 เมตรจากระดับน้ำทะเล
รวมถึง ซองซาน อิลชุบง (Seongsan Ilchulbong) ภูเขาไฟที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาใต้น้ำมากว่า 1 แสนปีก่อนที่ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ให้นักท่องเที่ยวมาวัดพลังความฟิตในการเดินขึ้นบันไดเพื่อไปชมปากปล่องภูเขาไฟขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 เมตร และมีความลึก 90 เมตร ซึ่งได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่มีความสวยงามทางธรรมชาติอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางการเดินป่า Saryeoni แหล่งรวมพันธุ์ไม้ซีดาร์อันหนาแน่น และพันธุ์ไม้ท้องถิ่นเกาหลีอื่นๆซึ่งสถานที่แห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาให้คำอธิบายเชิงนิเวศให้กับนักท่องเที่ยว หรือหากเดินกันอยู่ดีๆ ก็อาจมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นน่ารักๆ อย่างกวางป่าแวะมาทักทายด้วย
จากสถานที่แห่งนี้เรายังสามารถนั่งรถบัสไปยังจุดชมวิวที่เป็นไฮไลต์ของเมืองเจจู อย่าง จูซังจอลลี (Jusangjeolli) ที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกในท้องทะเล พร้อมชมวิวเสาหินสีดำที่เกิดขึ้นตามปรากฏการณ์ธรรมชาติจากหินลาวาภูเขาไฟอันแปลกตา
ไกด์ท้องถิ่นเมืองเจจู เล่าให้ฟังว่า หากเป็นคนเก่าแก่ในเมืองนี้สมัยก่อน จะมีความเชื่อว่าหินสีดำเหล่านี้มีอาถรรพ์ซึ่งจะไม่นำเด็กเล็กๆ หรือแรกเกิดมายังสถานที่แห่งนี้ ด้วยจะมีสิ่งไม่ดีติดตัวไปกับเด็ก ทำให้เมืองเจจูแห่งนี้จะต้องมีรูปปั้นที่เรียกว่า โดล ฮารุบัง (Dol hareubang) มาตั้งวางเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้คน และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเจจู แต่ปัจจุบันความเชื่อเช่นนี้ได้เลือนหายไปจากคนเกาหลีรุ่นใหม่เสียแล้ว
ปิดท้ายกันด้วยเมืองจอนจู (Jeonju) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางตอนใต้ ใช้เวลานั่งรถบัสราว 5 ชั่วโมงก็ถึงเมืองกันแล้ว จอนจูเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความน่ารักและมีเสน่ห์จากวิถีของผู้คนในเมืองที่เรียบง่ายไม่เร่งรีบ เป็นวิถีแบบสโลว์ไลฟ์ ที่สัมผัสได้จริง โดยเฉพาะในหมู่บ้านชอนจูฮันอก(Jeonju Hanok Village) หมู่บ้านวัฒนธรรมกลางเมืองจอนจูที่องค์การยูเนสโกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม (อีกแล้ว) ด้วย ซึ่งที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวเกาหลีมาเที่ยวพักผ่อนกันเองเยอะมาก
จากบรรยากาศสถานที่ ร้านค้าต่างๆ ในเมือง ที่กลมกลืนระหว่างความเก่าแก่และสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งยังมีลูกเล่นกิจกรรมของร้านเสื้อผ้าในเมืองแห่งนี้ ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเช่าชุดประจำชาติเกาหลี ทั้งแบบดั้งเดิม หรือแบบประยุกต์ เพื่อสวมใส่เที่ยวชมเมืองแบบย้อนยุค (วินเทจ) ที่เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็น ที่ต่างขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตลอดข้างทาง
หลังสิ้นสุดโปรแกรมเต็ม 3 สัปดาห์ พวกเราแต่ละคนอาจเห็นเกาหลีในมุมที่แตกต่างออกไป ด้วยในวันนี้เกาหลีใต้กำลังเติบโตขึ้นในอีกหลายมิติ…ซึ่งหากไม่ไปเห็นเองก็คงจะไม่รู้