รอยยิ้มที่หายไป
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
มันเป็น “รอยยิ้ม” ที่รับรู้ได้ถึง “มวลความสุข” อันล้นทะลักผ่านร่องฟันเว้าแหว่ง ปกคลุมด้วยไรหนวดสีเทาชี้สะเปะสะปะไร้ระเบียบ
ทุกอย่างมาเป็นแพ็กเกจพร้อมคำทักทายเสียงดังแต่ฟังไม่ชัด จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่คนแถวนั้นเริ่มคุ้นเคย
ชายเจ้าของรอยยิ้มเริ่มแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกับผมครั้งแรกด้วยการส่งเสียงตะโกนทักทายข้ามถนนสี่เลน
ที่ไร้รถราสัญจรในช่วงสายของวันที่ฟ้าฝนเริ่มตั้งเค้า
มันเป็นถ้อยคำที่เดาได้ยากว่าเขาพูดอะไร แต่ด้วยสีหน้า แววตา น้ำเสียง ที่ส่งมาก็พอจะสื่อสารกันเลาๆ ได้ว่าเขาคงแค่ต้องการทักทายมากกว่าจะบอกเล่าหรือซักถามสิ่งใด
จนถึงทุกวันนี้ ทั้งชื่อเสียงเรียงนาม หรือรายละเอียดว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน หรือจะให้เฉพาะเจาะจงถึงขั้นว่ามาทำอะไรที่ริมฟุตปาทถนนเส้นนี้ ยังเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ
เอาเข้าจริงอย่าว่าแต่คำตอบเลยลำพังแค่จะไปตั้งคำถามกับสิ่งตรงหน้าก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าสนใจในสายตาของใครต่อใครก็เป็นได้
หลายคนที่เคยสัญจรผ่านถนนเส้นนี้ คงเคยพบเห็นชายเจ้าของรอยยิ้มอยู่บ้าง บางคนอาจไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากวัตรปฏิบัติที่ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว ปรากฏตัวตอนเช้าบ่อยครั้ง บางครั้งก็สาย บางทีเจออีกครั้งก็เย็นย่ำค่ำมืด
แม้จะเป็นคนหาตัวจับยาก แต่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของเขาผ่านกองสัมภาระริมฟุตปาทที่ยังคงตั้งอยู่ยืนยันว่าเขาไม่ได้หายไปไหน
วันเวลาผ่านไป จากถุงดำบรรจุของใบใหญ่ เริ่มมีขวดน้ำ กล่อง ลัง และจักรยานเก่าๆ เพิ่มเข้ามาจนทำให้ฟุตปาทขนาดกว้างไม่ถึงสองเมตร ที่มีต้นไม้ปลูกกินที่ไปเกือบครึ่ง ดูแน่นไปขนัด
ในช่วงฝนตกกองสัมภาระของมีพลาสติกขุ่นคลุมไว้หยาบๆ กางทับอีกชั้นด้วยร่มสีดำไร้ด้ามจับ
ไม่มีใครสนใจว่าช่วงฝนตกหนักเขาไปหลบฝนอยู่ที่ไหน เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่า ช่วงฝนไม่ตก เขาหายหน้าไปทำอะไร หรือที่ไหน
หลายคนเริ่มคุ้นเคยกับรอยยิ้มของเขา หลายคนเคยสนทนากับเขาแม้จะไม่กี่คำ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ก้าวที่เดินผ่านบริเวณย่านนั้นเจ้าของรอยยิ้มตรงนั้น
แต่เรื่องราวหลัง “รอยยิ้ม” ถูกหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง จนกลายเป็นการต่อยอด “รอยยิ้ม” ที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับหลายวงสนทนา
ไม่ใช่เพราะความตลก แต่เป็นเพราะความน่ารัก ชายเจ้าของรอยยิ้มเขาใช้ชีวิตสไตล์คนไร้บ้าน ที่ไม่ใช่คนข้างถนนอย่างที่เคยเห็นๆ กัน
และที่สำคัญเห็นได้ชัดว่าสีหน้าเขามีความสุขกว่าคนที่เดินสัญจรผ่านไปผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
ในวงสนทนาครั้งหนึ่งวิเคราะห์กันว่าเรามาถึงจุดที่ “รอยยิ้ม” เหือดแห้งไปจากสังคมที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งรอยยิ้ม”
ทุกอย่างกลับตาลปัตร “รอยยิ้ม” กลายเป็นความผิดปกติ หรือของแปลกปลอมในบ้านนี้เมืองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
คนรุ่มรวยความสุขที่เที่ยวโปรยปรายรอยยิ้มให้คนไม่รู้จักมักจี่ มักถูกตีตราว่าเป็นคนบ้า หรือมีวัตถุประสงค์แอบแฝงมิดีมิร้าย
ความสุขจึงไม่อาจชี้วัดกันได้ด้วยดัชนีรอยยิ้มเหมือนแต่ก่อน ยิ่งในวันที่รอยยิ้มบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปนหาได้ยากขึ้นทุกที เบื้องหลังรอยยิ้มที่เจอะเจอฉาบไปด้วยผลประโยชน์ กลลวง
ด้วยแว่นตาของคนทั่วไปคงอธิบายได้ยากว่า “รอยยิ้ม” ของชายข้างถนนสะท้อนความสุขจริงหรือไม่ เมื่อบริบทชีวิตของเขาดูจะไม่เข้าเกณฑ์ความสุขตามบรรทัดฐานของสังคมในยุคสมัยนี้
แค่ปัจจัย 4 หล่อเลี้ยงชีวิตตามที่เห็น ก็ยังดูขาดๆ เกินๆ ทั้งที่พัก เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค แต่รอยยิ้มในแต่ละวันของเขาดูสดใสสะท้อนความสุขกว่าคนที่พรั่งพร้อมในสังคม
ที่สำคัญเขายังใจกว้างคอยแจกจ่ายรอยยิ้มให้คนที่ผ่านไปผ่านมาแบบไม่ตระหนี่
ชวนให้นึกถึงเรื่องราวของฝรั่งมังค่า บางคนที่ตัดสินใจละทิ้งบ้านช่องห้องหับ ลาออกจากงาน ไปใช้ชีวิตข้างถนนเอาดื้อๆ เพื่อตามหาความสุขของตัวเอง จะต่างกันก็ต้องที่บ้านเขาเมืองเขามีการดูแลคนของเขาไม่ว่าจะเป็นใคร และอยากใช้ชีวิตแบบไหน
ยังไม่ทันหายสงสัยว่าเขาเป็นใคร รู้ตัวอีกทีชายเจ้าของรอยยิ้มก็หายไปจากพื้นที่ของเขาแบบไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว สัมภาระที่เคยกองสุม ยืนยันความมีตัวตนอยู่ของเขาก็หายไปด้วย
การหายตัวไปของเขาคงเป็นที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ที่น่าเสียดายคือ “รอยยิ้ม” ที่มีอยู่น้อยนิดในสังคมกำลังจะอันตรธานหายไป