จารุพงศ์ กล้วยไม้งาม หลายวิกฤตชีวิต...ทำให้เราเติบโต
มหาอุทกภัยในประเทศไทย เมื่อปี 2554 ยังฝังอยู่ในความทรงจำ สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับมวลน้ำถาโถมเข้าสู่สถานที่
โดย...ปอย ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน
มหาอุทกภัยในประเทศไทย เมื่อปี 2554 ยังฝังอยู่ในความทรงจำ สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับมวลน้ำถาโถมเข้าสู่สถานที่ ซึ่งผู้คนผูกพันและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ ณ ที่นั้น ทั้งบ้านเรือนที่พักอาศัย ที่ทำงาน ต้องจมอยู่ใต้น้ำที่โจมตีเมืองหลวงอย่างที่ไม่ใครคาดคิดมาก่อนว่าจะรุนแรงยาวนานเช่นนี้
ข่าวเรื่องปริมาณน้ำจากภาคเหนือเริ่มหลากเข้าสู่เมืองหลวง เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กว่าระดับน้ำจะลดก็ข้ามสู่ปีใหม่ นับเป็นช่วงเวลายาวนานที่ผู้ประสบภัยต้องจมอยู่กับปัญหาใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต
นักร้องผมสีทองลุคแต่งตัวจัด “แจ๊ค” จารุพงศ์ กล้วยไม้งาม หลายคนรู้จักเขากับบทบาทอดีตสมาชิกวงไนซ์ ทู มีท ยู ปัจจุบันเป็นนักร้องเดี่ยวโดยใช้ชื่อว่า แบล็ก แจ๊ค บอกว่าครอบครัวเขาคือผู้ประสบภัยในวันนั้น และด้วยหลากหลายวิธี Survivor Mode ได้นำมาใช้ เพื่อพาครอบครัวและโรงงานฉีดพลาสติกทำไฟรถยนต์ส่งให้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งมีพนักงานกว่า 200 ชีวิต ในย่านนิคมอุตสาหกรรมปทุมธานีให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไปได้
และในที่สุดโรงงานของเขาที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ก็กลายเป็นโรงงานแห่งเดียวที่รอดพ้นจากมหามวลน้ำได้ราวกับปาฏิหาริย์ ขณะที่โรงงานรอบข้างจมมิดอยู่ใต้บาดาล
“แจ๊ค” จารุพงศ์ เล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่ามหาวิกฤตในครั้งนั้น บันทึกอยู่ในความทรงจำไปแล้ว เพราะด้วยความรู้ที่มีทั้งหมดถูกนำมาใช้อย่างหมดไส้หมดพุง พื้นฐานความรู้การเรียนปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อินเตอร์ฯ) นำมาใช้ได้ในเรื่องการก่อสร้างกำแพงป้องกันมวลน้ำ แปลงการติดเกมแบบวัยรุ่นทั่วไปในโลกออนไลน์ หันมาติดตามข่าวจากทวิตเตอร์และติดต่อแหล่งข่าวอย่างกระชั้นชิด สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถนำพาทุกคนพ้นวิกฤตอุทกภัยใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไปได้อย่างสวยงาม
Survivor Mode ผมต้องพาทุกคนให้รอด
จากข่าวที่ไม่มีการยืนยันจากทางการ มีเพียงข่าวกระเส็นกระสายมาเรื่อยๆ ราวกลางปี 2554 ก็ยังไม่มีใครสนใจเรื่องน้ำท่วมมากนัก ไม่มีใครคาดคิดว่าระดับน้ำย่านปริมณฑลรอบๆ กรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านรังสิต-ปทุมธานี น้ำจะท่วมสูงเท่ากับตึกสองชั้น แต่การติดตามข่าวสารจากทวิตเตอร์และแหล่งข่าวสายราชการ “แจ๊ค” จารุพงศ์ บอกว่ามีการเตือนมาโดยตลอด ประมาณสามอาทิตย์ก่อนที่น้ำจะท่วม จึงไม่เคยประมาท มีการวัดระดับน้ำทุกๆ วันจากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งห่างจากหลังโรงงาน 3 กม. ก็เห็นได้ชัดเจนว่าปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ
“ปีนั้นผมทำงานที่บ้านได้ 1 ปีแล้วครับ จุดที่น้ำท่วมสูงที่สุดก็คือโรงงานของเราที่อยู่ อ.สามโคก ข่าวสารก็มาเรื่อยๆ นะครับ แต่ด้วยความที่ไม่มีภาครัฐ ซึ่งควรเป็นแหล่งข่าวหลักในการส่งข่าวสารมาให้คนทำโรงงานที่นั่นสอบถามได้เลย มีแต่ภาพถ่ายจากดาวเทียมจากข้าราชการท่านหนึ่งที่บอกโรงงานในย่านนั้นว่า น้ำมาแล้วจากด้านภาคเหนือ ภาพเห็นแต่ฟ้ากับน้ำแทบไม่เห็นพื้นดินแล้ว
ผมจึงสั่งให้พนักงานวัดปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาทุกๆ วัน แล้วก็เห็นว่าน้ำไม่ลดเลย ผมจึงเรียกประชุมด่วนในครอบครัว บอกเชื่อ-ไม่เชื่อ ไม่รู้นะ แต่เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว และโชคดีที่ครั้งนั้นพ่อแม่เชื่อ ไม่ขัด หม่าม้ารีบไปถอนเงินสดออกมาเลย 2 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์หิน กระสอบทราย วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างอิฐปูนซีเมนต์เพื่อมาก่อสร้างผนังกำแพงกั้นน้ำ ผมคลิกศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเลยครับว่าวิธีป้องกันน้ำเข้าตึกทำอย่างไร โรงงานเราสูง 2 เมตร ซึ่งก็สูงอยู่แล้ว
ผมสั่งพังประตูบานใหญ่ของโรงงานทิ้งแล้วก่ออิฐโบกซีเมนต์แข็งแรง ก่อกำแพงปิดประตูโรงงาน ศึกษาข้อมูลว่าน้ำจะไหลเข้าที่พักได้ทางไหนบ้าง นอกจากไหลท่วมมาทางด้านบนแล้ว และด้านล่างน้ำก็สามารถซึมมาท่วมได้ด้วย ก็ซีลด้วยพลาสติกหนาอุดตามท่อน้ำต่างๆ กันน้ำซึมเข้ามา แล้วถ้าน้ำซึมเข้ามา เราก็เตรียมปั๊มน้ำตัวใหญ่ไว้อีก 3 ตัว คอยสูบน้ำออก เรียกว่าเตรียมพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันน้ำท่วมไว้ก่อนเลยครับ
โชคดีที่โรงงานผมอยู่สูงที่สุดในปทุมธานี พอก่อกำแพงก็ยิ่งสูง คนผ่านไปผ่านมาก็หัวเราะกันใหญ่ กลัวอะไรนักหนา โรงงานอื่นๆ ทั้งซอยแทบจะหัวเราะใส่เรา มาแวะแซวเราตลอดว่าเราขี้กลัว แต่ผมมั่นใจว่าน้ำมาแน่เพราะติดตามข่าวปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ด้านทางภาคเหนือ หลังจากนั้นไม่นาน น้ำก็มา แล้วมาเร็วมากครับ และน้ำเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ทุกโรงงานท่วมหมด ปริมาณน้ำสูงถึงจากพื้นเมตรกว่า เรียกว่าน้ำสูงท่วมมิดหัว พอเตรียมตัวกันไม่ทันแล้วปัญหาแย่ๆ ก็ตามมาเป็นโดมิโนเลยนะครับ อุปกรณ์การก่อกำแพง อิฐ และทราย น้ำดื่มอาหารขาดตลาด แต่เราสามารถเอาตัวรอดได้ในช่วงนั้น เป็นโรงงานเดียวที่ยังส่งของให้บริษัทรถยนต์ได้ ผู้บริหารโตโยต้าถึงกับนั่งเรือเข้ามาดูโรงงานเราเลยอยากรู้ ฮาว ทู น้ำไม่ท่วม ซึ่งผมให้ทีมงานทำหนังสือไว้เลยสำหรับแจกพนักงานทุกๆ คนเลยนะครับ เป็นคู่มือ Survivor Mode ตั้งแต่วิธีเรียงกระสอบอย่างไรไม่ให้น้ำไหลเข้ามา
โรงงานผมมีเนื้อที่ 4 ไร่ จำภาพนั้นได้ติดตาเลยครับว่าไม่ต่างอะไรกับค่ายอพยพ เพราะเป็นโรงงานเดียวที่รอดน้ำไม่ท่วม พนักงานหลายร้อยก็ย้ายมานอนในโรงงานที่เราเตรียมพร้อม แม้กระทั่งอาหารน้ำดื่ม เครื่องปั่นไฟฟ้า แต่ก็มีเรื่องแปลกๆ คือในวิกฤตนั้นมีคนพยายามทำให้เราน้ำท่วมไปด้วย เช่น มาพยายามทำให้กำแพงเราแตกโดยการเจาะรู หรือเราขอยืมอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่ให้ความร่วมมือเพราะเห็นว่าโรงงานเราไม่ท่วม
แต่เหตุการณ์ที่น่าระทึกใจที่สุด พนักงานเราถูกงูกัด แล้วไม่สามารถพาพนักงานออกไปได้ เพราะน้ำสูงมาก รถยนต์ทั่วไปเข้าออกไม่ได้ ผมจำได้ว่าลุยน้ำไปขอยืมรถแบ็กโฮขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเกษตรของโรงงานใกล้ๆ แต่ไม่ให้เพราะเห็นว่าเราน้ำไม่ท่วมและน่าจะช่วยตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจำได้ไม่ลืมเลยครับ ผมก็ตกใจว่านี่คนถูกงูกัดกำลังจะตายนะ! แต่คำตอบคือผมไม่ให้ยืมนะ ผมกลัวรถของผมเสีย!!! ผมรู้ในวินาทีนั้นเลยครับว่าในวินาทีวิกฤตสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือพึ่งตัวเองไม่พอ แต่เราต้องมีพันธมิตรที่ดีอีกด้วยเมื่อคนใกล้บ้านไม่ให้เราพึ่ง ก็ต้องพึ่งคนไกลบ้าน ทั้งทวิตเตอร์ทั้งเฟซบุ๊ก ผมกระหน่ำขอความช่วยเหลือแล้วทาง จส.ร้อย ก็ส่งรถมารับไปโรงพยาบาล แล้วก็ผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ครับ
ตอนนั้นผมก็ยังต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตด้วย การเข้าออกช่วงนั้นลำบากมาก เพราะต้องใช้เรืออย่างเดียว เข้าออกครั้งหนึ่งเพื่อไปทำงานใช้เวลาประมาณสามสี่ชั่วโมง เพื่อไปต่อรถแท็กซี่เข้าเมือง เพราะตอนนั้นท่วมเยอะมากแล้ว เกือบทุกที่ มีหลายครั้งที่ผมต้องยืนข้างถนนเพื่อโบกรถที่ผ่านไปมาเพราะไม่มีรถแท็กซี่ เคยถึงขนาดต้องโบกรถขนไก่เพื่อเข้าเมือง เป็นช่วงที่สอนอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตมาก เห็นถึงความมีน้ำใจและเห็นแก่ตัวของคน และต้องใช้ไหวพริบต่างๆ ในช่วงวิกฤต ช่วงนั้นมีพนักงานย้ายมาอยู่กับโรงงานเราเกือบสามร้อยคน เพราะบ้านจมน้ำ และมีโรงงานเราเป็นที่พึ่งอย่างเดียว
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่อะไรนะครับ แต่เราทำโดยที่คิดว่า พวกเราทุกคนต้องรอดจากวิกฤต ก่อนหน้านั้นผมออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านสองปีแล้วครับ พอเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนั้นจึงกลับมาโดยบอกพ่อแม่ว่าจะกลับมาแก้ปัญหาด้วยกัน”
วัยรุ่นดื้อเงียบ-โมโหร้าย
ผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมไปได้ “แจ๊ค” จารุพงศ์ เล่าว่า ในเรื่องร้ายกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต แต่กว่าจะได้รับความเชื่อถือจากครอบครัวในวัย 28 ปี ณ วันนี้เด็กวัยรุ่นที่ขอแยกตัวไปเติบโตในวงการบันเทิงไม่เคยได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทางบ้านเลย และเวลาเท่านั้นที่จะคลี่คลายทุกๆ สิ่งได้
“ก่อนเหตุการณ์น้ำท่วม ผมออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวสองปี ตัดสินใจไม่กลับบ้านเลย จนกระทั่งมีเหตุการณ์น้ำท่วมจึงดึงเรากลับมาบ้านได้” จารุพงศ์ บอกพร้อมรอยยิ้มว่านิสัยเป็นคนดื้อเงียบ และมีความคิดเป็นของตัวเองว่าบ้านที่เลี้ยงดูอย่างไข่ในหินแบบนี้ คงไม่ทำให้ลูกชายคนโตเติบใหญ่ไปกว่านี้ได้เลย แล้วด้วยนิสัยวัยรุ่นที่ติดเพื่อนติดแฟนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การหายออกจากบ้านไปนานจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกในวันนั้น
และถ้าให้เหตุการณ์นั้นหมุนย้อนกลับมาได้ในวันนี้ ชายหนุ่มบอกด้วยดวงตามุ่งมั่นว่า ไม่เคยคิดกลับไปแก้ไขในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เขามั่นใจเกินร้อยกับทุกสิ่งที่เลือกแล้ว
“ทะเลาะกับทางบ้านได้ทุกเรื่องเลยละครับ ผมเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีนหัวโบราณ อากงอาม่าเสียงดังมากถ้าเราเถียง...ลื้อเป็นเด็กกล้าเถียงป๊าม้าได้ไง?... นี่คือคำพูดติดปากพวกท่านเลย แล้วผมก็ปากดี เถียงเก่งครับ (หัวเราะ) แล้วโมโหร้ายด้วย ผมก็เถียงอากงเรื่องนี้ป๊าม้าอาจถูกในมุมมองของเขา แต่ก็ไม่ได้ถูกต้องในมุมมองของแจ๊ค ผู้ใหญ่อาจไม่ใช่ฝ่ายที่ถูกเสมอไป อากงบอกแค่ว่า...เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด กงสอนดีกว่าไหมว่าหมามันกัดอากงเพราะอะไร แล้วถ้าวันหนึ่งเด็กมันไปเดินคนเดียวเจอหมาแล้วจะป้องกันอย่างไร เด็กมันจะได้รู้นะครับ ไม่ใช่เอะอะด่าว่าอย่างเดียว ปากดีมาก (หัวเราะ) โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เพราะผมคิดว่าคือคนสำคัญที่สุดในชีวิต ถ้ามีอะไรเราต้องพูดกันตรงๆ ชัดๆ ทำให้ผมกลายเป็นคนโมโหร้าย และมีความคิดความอ่านไม่ลงรอยกับครอบครัวนัก
นิสัยผมแรงมาก ไม่แคร์ไม่ระวังคำพูด มันก็ถูกแค่เป็นเจตนา ความตั้งใจ แต่ทุกวันนี้ผมก็คิดได้ว่าสำหรับวิธีการ มันผิด วันนี้เราโตแล้วไม่ควรเถียงหรือพูดสวนพวกท่านแรงๆ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากบ้านแตก
ผมมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองตลอดว่า ถ้าอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ เราต้องไม่โตแน่ๆ บ้านอยู่รังสิตครับ ก็ใกล้มหาวิทยาลัยมากๆ หม่าม้าก็บอกเรียนจบแล้วให้กลับบ้านไม่เกิน 6 โมงเย็น ผมก็เข้าใจนะครับว่าท่านทั้งหวงและห่วงลูกชายคนโต แต่ผมก็กลับเช้า (หัวเราะ) หรือบางวันไม่กลับเลย ไม่ได้ไปสำมะเลเทเมานะครับ แต่ติดเพื่อนแค่นั้นเอง ถึงวันนี้เสียใจไหม เสียใจที่ทำให้แม่เครียดเพราะท่านเป็นผู้นำครอบครัว เป็นซีอีโอ ดูแลธุรกิจเป็นหลักเครียดกับธุรกิจแล้ว ยังมาเครียดกับลูกอีกก็อยากขอโทษป๊ากับหม่าม้าในเรื่องนี้ แต่ผมก็เชื่อในสิ่งที่ทำ หม่าม้าเป็นผู้ใหญ่เสียงดังมากแล้วผมก็ดังไม่แพ้กันด้วยก็น่าจะอยู่ด้วยกันยาก และผมมีหลักในการใช้ชีวิตว่าให้เกเรแค่ไหนแต่โปรไฟล์ผมต้องไม่เสีย ประวัติต้องไม่เลว ผมดูแลตรงนี้ได้ไม่เคยพลาด อย่างชอบปาร์ตี้ก็รู้ตัวนะครับเพื่อนๆ มีแต่กลุ่มปาร์ตี้ แต่เราไม่ได้พาตัวเองไปในที่อโคจร ไม่พาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับสิ่งเสพติดเด็ดขาด
แต่ก็มีเรื่องที่ยอมรับว่าตัวเองประมาท คือ ตอนอายุ 19 ปี ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำพังยับเยินทั้งคัน ผมขับรถอัลฟ่า โรมิโอ แต่ในความประมาทก็ยังมีสติ เหตุการณ์เกิดจากโทรศัพท์มือถือดัง แล้วหล่นลงไปที่พื้น ผมก้มลงไปหยิบพอเงยหน้าขึ้นมา ตู้มๆๆ แล้วแอร์แบ็กก็พุ่งออกมา ผมก็ยังมีสติพอที่ใช้มือกั้นแอร์แบ็กไว้ให้เรายังพอเห็นเส้นทางว่ารถหมุนไปทางไหน
เหตุการณ์นี้แม่ผมกลับไม่ตำหนิอะไรเลยนะครับ ทำให้ผมอ่อนลงไปได้เยอะ เพราะคิดว่าวิกฤตจริงๆ คนที่ห่วงใยเรามากที่สุดก็คือพ่อแม่และคนในครอบครัว
ช่วงปีนั้นมีปัญหาสองทาง ทั้งครอบครัวทั้งเพื่อนร่วมวง เรียกว่าแทบไม่มีที่ยืนก็ว่าได้ครับ (แต่ตอนนี้บอกพร้อมรอยยิ้มได้แล้ว) มีข่าวการถอนตัวออกจากไนซ์ ทู มีท ยู สาเหตุเพราะผมมีปัญหาทางด้านการเรียนวิศวะที่หนักมาก อายุ 21 ปี เรียนปีสุดท้าย ข่าวในอินเทอร์เน็ตผมโดนโจมตีกระหน่ำทำนองว่าทรยศเพื่อน อยากแยกตัวออกไปดังคนเดียว ตอนนั้นผมเครียดมากกลายเป็นคนเงียบๆ เก็บตัวมีโลกส่วนตัวสูง ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีกว่าจะกลับมาพูดคุยกับเพื่อนฝูงได้ แต่เวลาไม่ได้ช่วยเราหรอกครับ ตราบใดที่เราไม่ช่วยเหลือตัวเอง วันนั้นผมก็ยังไปแฮงเอาต์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงได้นะครับ แต่จะไม่ติดใครไม่ฟังใครมากๆ กลับมาอยู่กับตัวเอง นิ่งๆ มีเวลาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ครุ่นคิดทบทวนวิเคราะห์หาคำตอบให้ตัวเองว่าปัญหาเกิดจากอะไร ซึ่งก็ขอบคุณวิธีการแบบนั้นนะครับ เพราะถ้าย้อนกลับไปคนวัยนั้น ถ้าเตลิดไปฟังเพื่อนก็ยิ่งไปกันใหญ่”
‘หนุ่มผมทองกรีดตาดำ’ ลุคนักธุรกิจเอสเอ็มอีรุ่นใหม่
เมื่อเรียนจบก็ได้กลับมาร้องเดี่ยว “แจ๊ค” จารุพงศ์ กลับมาออกอัลบั้มเพลงอีกครั้ง ใช้ชื่อว่า แบล็ก แจ็ค มีเพลงฮิตไลน์มิวสิคชาร์ต เพลง “บุคคลสาบสูญ” วันนี้เป็นเพลงได้ใจแฟนคลับไปแล้ว กับเอ็มวีที่สร้างในโปรดักชั่นคุณภาพระดับภาพยนตร์
และอีกหนึ่งบทบาทวันนี้ หนุ่มผมสีทองสวมแจ็กเกตหนัง ยื่นนามบัตรตำแหน่งผู้บริหาร Division Marketing Manager ของธุรกิจครอบครัวที่ทำอยู่ในด้านโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์
“ธุรกิจระดับเอสเอ็มอีในเมืองไทยมีหลายปัจจัยที่ยั่งยืนยากครับ นักธุรกิจทำโรงงานที่มีภาระดูแลพนักงาน 200 กว่าคน สามารถพัฒนาได้ในระดับแค่ธุรกิจครอบครัว แล้วก็ต้องทำงานไปจนแก่เฒ่าและอาจทำไปจนตลอดชีวิตเลยก็ได้ครับอีก 3-4 ปี ผมจึงตั้งเป้าหมายนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยเราเป็นบอร์ดและจ้างคนมาบริหารธุรกิจที่บ้าน ส่วนผมอาจผันตัวไปเป็นนักลงทุนทั้งในหุ้นและในธุรกิจ ผมคงไม่ทำงานหนักไปจนตายแน่นอน
ช่วงที่ผมกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเต็มตัว ทางบ้านมีธุรกิจสิบกว่าล้านบาท...ถามว่าน่าตกใจไหม ในทางธุรกิจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานะครับ ถ้าตัวเลขยังเคลื่อนไหวไปได้ดี
สิ่งที่หม่าม้าของผมรับผิดชอบถือว่าหนักมาก และท่านก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราตั้งใจทำงานให้ได้ตามเป้าหมาย การทำธุรกิจซัพพลายเออร์ในระดับเอสเอ็มอีมีเหตุการณ์กดดันมากมายจากลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเรามีลูกค้ารายหลักๆ เพียง 1-2 เจ้าเท่านั้น ก็ใช้หลักการบริหารแบบเก่าที่พ่อแม่ทำมาโดยตลอด แล้ววันหนึ่งผมก็ไปหาลูกค้ากับแม่แล้วก็โดนลูกค้าตำหนิอย่างรุนแรง จนแม่น้ำตาไหลถึงกับต้องเดินออกนอกห้องประชุม โมเมนต์นั้นขอโทษนะครับ...ต่อไปแม่กูต้องไม่เจอแบบนี้อีก แล้วถ้าเราพัฒนาโรงงานเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เราจะพ้นสภาวะเครียดตรงนี้ มีคนทำงานมืออาชีพทำแทนเราได้ โดยหลักวิธีการทำงานในสายโรงงานผลิตของส่งบริษัทรถยนต์ มันไม่ใช่วิธีนำเสนอสินค้าขาย แต่ต้องทำให้เขามั่นใจในตัวเรา
เราเลี้ยงพนักงานเป็นร้อยไปจ่ายตลาดด้วยตะกร้า 1-2 ใบ คือ มีลูกค้าแค่นี้ไม่พอกินแน่นอน ผมเริ่มต้นรับช่วงธุรกิจโดยใช้ลูกบ้าลูกดิ้น เริ่มจากไปเสิร์ชหาว่านิคมอุตสาหกรรมในไทยมี 28 แห่ง ใครควรอยู่ในลิสต์เราบ้าง ไล่หาเบอร์โทรศัพท์แล้วใช้วิธีน็อกดอร์เขียนโครงการไปเสนอเลย โทรขอนัดขอคุย ใช้วิธีการโต้งๆ เคาะประตูกันแบบนี้แหละครับ ก็มีแนวโน้มจะได้ลูกค้าเพิ่มอีก 6-7 ราย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีการตรวจสอบบัญชี ใช้เวลากันร่วมปีเลยครับ ตรงนี้ใจร้อนไม่ได้ นักธุรกิจไทยขาดเงินลงทุน ขณะที่เอสเอ็มอีต่างชาติมาเป็นกองทุนโดยมารวมตัวกัน การลงทุนสร้างโรงงาน 400-500 ล้านบาท สำหรับต่างชาติไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แต่สำหรับพวกเราเอสเอ็มอี มันยากมากเลยครับ สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดก็คือลูกบ้า กล้าพร้อมชนหาลูกค้ารายใหม่ๆ ไม่ยึดติดมุมเดิมๆ
ผมชอบมองภาพออกนอกกรอบ ติดกลุ่มพวกเพ้อฝันก็ว่าได้ ผมไม่ได้คิดว่ากรอบโรงงานเราทำได้แค่ป้อนของให้บริษัทรถยนต์ แต่การหล่อพลาสติกของโรงงานน่าจะรองรับเครื่องบิน ซึ่งใช้อะไหล่ใกล้เคียงกัน ผมใช้วิธีเดินเข้าไปพบผู้บริหารในงานสัมมนาของกลุ่มผลิตเครื่องบินเลยนะครับ แล้วถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ตอบรับเราทันที แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็แลกนามบัตรและยอมแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเรา
ผมว่าทุกคนต้องมีแรงขับเคลื่อนในชีวิต ลองหามันให้เจอครับ ตอนนี้วัย 28 ปี ของผมอยู่ในช่วงค้นหาตัวเองด้วย หาไปตั้งแต่การบริหารงาน ไปจนสไตล์การแต่งตัวที่มีหลักแค่ว่าถ้าเราเดินไปที่ไหน ทุกคนต้องสนใจ ต้องมองมาที่เรา อย่างผมหัวสีทองแบบนี้บางวันก็แต่งตัวแน่นมาก วันนี้ลุคซอฟต์ๆ นะครับ (หัวเราะ) แต่งตัวใส่เสื้อแฟชั่นเพนต์แรงๆ กางเกงขาดๆ ยุ่ยๆ แล้วทับด้วยกระโปรงอีกชั้นสไตล์แฟชั่นเจป๊อป กรีดตาจัดเต็ม ผมเป็นผู้ชายแท้ครับมีแฟนเป็นผู้หญิง (ยืนยันพร้อมเสียงหัวเราะ) ซึ่งสไตล์การแต่งตัวแบบนี้ผมคิดว่ามันน่าเสียดายที่จำกัดกรอบว่ากระโปรงคือเครื่องใช้ของผู้หญิง ทั้งที่มันเท่มากแต่คุณไม่กล้าหยิบมาใส่เพราะความเชื่อเหล่านี้
ก็บอกแล้วว่าผมทะเลาะกับที่บ้านได้ทุกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้พวกท่านก็โมโหผมหัวหมุนกันมาก อยากให้เราใส่สูทผูกไทผมเรียบ ไปพบลูกค้า รถยนต์ไม่ควรขับสีเหลืองสดแบบนี้ แม่ก็อยากให้ขับคัมรีหรือแอคคอร์ด เพราะลูกค้าญี่ปุ่น การแต่งตัวการเลือกใช้รถยนต์ของเราต้องเป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นด้วย แต่ผมไม่สนใจแต่งตัวอย่างที่ชอบนั่นแหละ แล้วผมชอบความเร็วก็ขับรถยี่ห้อโลตัสเข้าไปติดต่อลูกค้า ก็ไม่มีใครมีปัญหานะครับ เพราะสิ่งแรกที่ผมทำเมื่อติดต่อกับลูกค้าญี่ปุ่น โค้งจนหัวแทบติดพื้นเลย ทุกคนก็ต้อนรับแล้วก็พูดคุยกันรู้เรื่องดี (หัวเราะ)
ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีคีย์อยู่ที่คุณรู้ตัวเองว่าเป็นใคร มั่นใจในสิ่งที่เราทำแค่นั้นเองครับ ถ้าถามว่าในจุดนี้ผมคือใคร? ผมเป็นศิลปินที่เป็นนักธุรกิจ ในอนาคตผมฝันอยากทำธุรกิจให้เป็นแบรนด์ที่คนรู้จัก สิ่งที่ยากที่สุดตอนนี้ก็คือต้องเพิ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด แล้วการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในอนาคต”
“แจ๊ค” จารุพงศ์ ปัจจุบันหลายคนรู้จักเขาในฐานะนักร้อง แต่ในวันข้างหน้าเขาบอกอย่างหนักแน่นว่าสิ่งที่ยั่งยืนคือวงการธุรกิจ ที่ทำในฐานะลูกชายคนโตต้องสานต่องานครอบครัว และทำด้วยแรงขับเคลื่อนมีพลังที่ต้องประสบความสำเร็จ โดยใช้ประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาหลากหลายครั้งปูสร้างพื้นฐานที่มั่นคง