posttoday

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

13 ธันวาคม 2558

อมตวาจาที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ถือเป็นคำที่ไม่เคยล้าสมัย ใช้ได้ตลอดกาลนาน ต่อให้ร่ำรวย 100 ล้านพันล้าน

โดย...อณุสรา ทองอุไร

อมตวาจาที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ถือเป็นคำที่ไม่เคยล้าสมัย ใช้ได้ตลอดกาลนาน ต่อให้ร่ำรวย 100 ล้านพันล้าน หากร่างกายจิตใจมีแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วยทุกข์แสนสาหัส เงินก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสุขได้แต่อย่างใด ดังนั้นรวยน้อยไปหน่อย แต่ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า ซึ่งเธอคนนี้ก็รู้ซึ้งกับคำนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อยามที่ความเจ็บไข้ได้ป่วยเข้ามาแวะเวียนในชีวิตของเธอที่เจ็บป่วยจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เงินที่เพียรหามาตอนสมัยสาวๆ ก็หมดไปกับการรักษาเนื้อรักษาตัวไปเกือบ 5 ล้านบาท

คุณมล-มลธิรา กาซ้อน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มีชื่อคนหนึ่งของ จ.เชียงราย เธอทำบ้านจัดสรรมีชื่อมานานกว่า 20 ปี เกือบ 20 โครงการ มีร้านอาหาร มีอพาร์ตเมนต์ให้เช่า สร้างเนื้อสร้างตัวมาตั้งแต่สมัยสาวๆ จนกระทั่งอายุเข้าหลักสี่ (45 ปี) เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยเพลียง่าย ไม่มีแรง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แข็งแรงทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ไม่มีปัญหา ตอนแรกก็คิดว่าคงสืบเนื่องจากการที่ต้องเฝ้าไข้ดูแลคุณแม่ที่เจ็บป่วยเป็นเวลานานหลายเดือนติดกัน เลยทำให้นอนน้อย กินอยู่ไม่เป็นเวลา ผสมกับความเครียดจากอาการป่วยของคุณแม่ ทำให้อ่อนเพลียสะสมเรื้อรัง เพราะคุณแม่เป็นอัมพาตมาหลายเดือนแล้ว

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

“ในที่สุดคุณแม่เสีย เราก็งอมตามคุณแม่ เพราะดูแลท่านใกล้ชิดอยู่หลายเดือนเลย แต่คิดว่าปกติเราแข็งแรงดี ไม่ค่อยเป็นอะไร เหนื่อยพักสักระยะก็คงหาย แต่นี่ไม่หายเพลียเป็นไข้ 3-4 วัน ติดๆ เป็นๆ หายๆ มา 2-3 ครั้งติดกัน แถมมีจุดจ้ำเป็นเลือดแดงๆ เล็กๆ ที่ขา 2-3 จุด เหมือนยุงกัด เราก็เริ่มสงสัยเป็นอะไรหว่า น้องที่สนิทกันเป็นพยาบาลเขาเห็นเลยบอกว่าไปหาหมอเถอะ เจาะเลือดดูสิ ให้แน่ใจว่าเป็นอะไรแน่ เราก็ไปตรวจ” มลธิรา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของความเจ็บป่วยให้ฟังตอนนั้นคือปี 2554

เธอเล่าต่อว่า พอผลเลือดออกมามันต่ำมากจนผิดปกติ คนทั่วไปต้องมีค่าเกล็ดเลือด 1.4-4 แสนลูกบาศก์เมตร แต่ของเธอค่าเลือดตกลงมาเหลือแค่ 7 หมื่น ตอนนั้นกำลังทำโครงการบ้านจัดสรรใหม่ พร้อมๆ กับมาซื้อที่ปลูกบ้านที่ดอยหลงม่อนที่ จ.เชียงราย อยากมีบ้านบนเนินเขามั่ง เพราะฝันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พอมาคุมงานก่อสร้างเดินขึ้นดอยไม่ได้สูงมากเหนื่อยหอบเลยทีเดียว ซึ่งปกติไม่เป็น วันรุ่งขึ้นกำลังจะไปลงเสาเอกเสาโท วางฤกษ์ ปรากฏว่าไปถึงนั่งไหว้พระพอลุกขึ้นยืนเซจะเป็นลมหน้ามืดลุกไม่ไหว เลยต้องกลับไปพัก

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

พอผลเลือดออกมา น้องสนิทที่เป็นพยาบาลบอกว่า มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่แล้ว เขาก็ให้ไปตรวจให้ละเอียด ไปเอกซเรย์ด้วย เขาเห็นหน้าก็ทักเลยว่า หน้างี้ซีดมากไม่ปกติแน่แล้ว เขาเลยขอให้แอดมิตที่โรงพยาบาลวันนั้นเลย “พอเห็นเราหน้าซีดเขาเลยจะให้เลือด แล้วโรงพยาบาลก็ไม่รอบคอบ เราเลือดกรุ๊ปเอบี เขาดันเอาเลือดกรุ๊ปโอมาให้เราเลย เหมือนจะแพ้ เพลียมาก น้องพยาบาลก็ไปโวยให้ว่าผิดพลาดยังงี้ได้ยังไง สภาพเราตอนนั้นเราไม่เห็นหน้าตัวเอง มีแต่คนบอกว่าโทรมมากสภาพดูไม่ได้เลย เรารู้แต่ว่าเพลียไม่มีแรงพูดยังไม่ไหวเหนื่อยนอนมองเพดานตาค้างอย่างเดียวเลย น้องก็ให้เปลี่ยนโรงพยาบาลทันที เขาดูแลไม่ดี เอาแต่ให้เลือด ก่อนไปตรวจให้ละเอียด ก็นะโรงพยาบาลต่างจังหวัดเล็กๆ หมอก็ดูแลไม่ทั่วถึง วินิจฉัยไม่ละเอียด” เธอกล่าวอย่างเพลียใจ

พอเปลี่ยนโรงพยาบาลตอนอยู่ในรถพยาบาลเธอก็หมดสภาพแล้ว คือ พูดไม่ได้ ใครถามอะไรก็ได้แต่พยักหน้า โรงพยาบาลก็เอกซเรย์ตรวจละเอียด เจาะหาไขกระดูก ก็พบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันเป็นระยะที่ 4 ลุกลามไปทั่วแล้ว เป็นชนิด AML คือชนิดที่รุนแรงที่สุด

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

“แล้วเวลาที่หมอบอกกับคนไข้เนี่ยนะ เขาพูดตรงๆ เลยไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีระยะเวลาให้ทำใจ ตรงเป้าเข้าประเด็นคือไม่ดูแลจิตใจเราเลย เราก็อยู่ในสภาพอย่างนั้นด้วย พอหมอบอกปั๊บเหมือนกับฟ้าผ่าเลย เราชาไปทั้งตัว ไม่ตกใจนะ ตอนแรกเหมือนช็อกเพราะคิดไม่ถึง พอหมอบอกว่าเราเป็น เราก็ตอบไปว่าเป็นก็รักษาสิ แล้วโรงพยาบาลที่นี่ก็เล็ก รักษาไม่ได้ เราก็ต้องย้ายไปที่โรงพยาบาลใหญ่กว่า ก็เลยไปที่โรงพยาบาลมหาราช จ.เชียงใหม่ ก็เริ่มขั้นตอนรักษาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2554” เธอย้อนอดีตให้ฟัง

แต่หมอก็ใจดีแนะนำว่าให้ย้ายไปอีกโรงพยาบาล เราจะได้สิทธิรักษา 30 บาท หมอกลัวเราจะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่ย้ายแล้ว จะรักษาที่นี่ เธอจ่ายไหว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการรักษา เธอนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 วัน รักษาด้วยการให้คีโม 21 ครั้ง ชุดละ 7 วัน 3 ชุด อยู่ 7 วันแรก อาเจียน กินอะไรไม่ได้เลย น้ำหนักลดไป 20 กก.จาก 68 กก.เหลือ 53 กก.ปากขมอมแต่มะขามป้อมได้อย่างเดียว ให้คีโมดีขึ้น แต่ยังต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพราะร่างกายอ่อนแอจะติดเชื้อได้ง่ายมาก ห้ามให้ใครเยี่ยมเลย ตอนนั้นค่าเกล็ดเลือดก็ยังไม่ขึ้น ตกลงไปอีกเหลือแค่หมื่นกว่าๆ มันตกลงมากจนพยาบาลคิดว่าเราจะไม่รอดแล้ว พอรับคีโมมาสักระยะ ค่าเลือดก็เริ่มดีขึ้น อยู่โรงพยาบาล 45 วัน ก็กลับมาพักต่อที่บ้านอีก 15 วัน อยู่แต่ในห้องฟอกอากาศเพื่อรักษาอาการให้สงบ

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

หลังจากนั้นอีก 15 วัน ก็มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อให้มันสงบจริงๆ ที่จุฬาฯ ก็ให้คีโมอีกครั้ง เป็นคีโมชนิดพิเศษ ผลการรักษาดี แต่อาการข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง ปากพุพอง กินอะไรไม่ได้อีกแล้ว ในร่างกายร้อนวูบวาบไปหมด แสบร้อนเหมือนว่าการให้คีโมมันไปแผดเผาอวัยวะอื่นไปด้วย เพราะมันต้องไปฆ่าเชื้อให้เซลล์ทุกอย่างตายให้สนิทร่างกายข้างในพัง รอบนี้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ อีก 40 กว่าวัน อยู่ในห้องปลอดเชื้อตลอด 45 วัน

ระหว่างนี้ก็รอสเต็มเซลล์ของพี่ชายที่กรุ๊ปเลือดเดียวกัน เจาะไขสันหลังกับไหปลาร้าของพี่ชายเพื่อมาสร้างให้เราแข็งแรง แรกๆ มันก็ต้านกันอยู่ ผื่นขึ้นทั้งตัวแล้วก็ช็อก กินอะไรไม่ได้เลย ผมร่วงหมดทั้งศีรษะ อ่อนเพลียรุนแรงวิ่งรอกขึ้นลงที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กับ จ.เชียงใหม่ พอดีขึ้น ก็กลับไปทำคีโมที่โรงพยาบาลที่ จ.เชียงใหม่ อีกครั้ง

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

รอดมาได้เหมือนได้เกิดใหม่...

เรียกว่าตลอด 6 เดือน ของการรักษา เกือบ 6 เดือนนี้ร่างกายบักโกรกมาก ให้คีโมครั้งแล้วครั้งเล่าจนอ่อนใจ ให้คีโม 30 กว่าครั้งทั้งสองโรงพยาบาล เกล็ดเลือดเริ่มดีขึ้น แต่ยังคงอ่อนเพลีย แต่ตับไตภายในทั้งหลายเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นบ้าง พอแข็งแรงขึ้นก็ต้องมาคอยตามผลที่จุฬาฯ ทุก 15 วัน ตลอด 3 เดือนหลังจากนั้นก็มาตามผลทุกเดือนตลอด 6 เดือน หมอก็จะนัดห่างขึ้นเรื่อยๆ เป็น 3 เดือนครั้ง นี่ผ่านมา 4 ปี ก็ยังต้องไปหาหมอทุกๆ 3 เดือน เพื่อติดตามโรค คอยดูว่ามันสงบเรียบร้อยดีไหม หมดค่ารักษาตัวไปทั้งสิ้นเกือบ 5 ล้านบาท รวมค่าเดินทางด้วยเครื่องบินที่เราต้องบินมาทุก 15 วัน ตลอด 2 ปีแรก มาเช่าคอนโดอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลจุฬาฯ ในช่วงแรกๆ เพราะเดินทางไกลๆ ไม่ไหว

“นี่โชคดีที่เราได้มารักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลนะ ถ้าไปเอกชน 10 ล้าน ก็ไม่รู้ว่าจะพอไหม ตอนแรกจะไปรักษาเอกชน แต่คุณหมอใจดีท่านอยู่จุฬาฯ ด้วย ท่านสงสารบอกมาที่จุฬาฯ แล้วกัน จะได้ประหยัดหน่อย ตอนที่ป่วยนี่เราขายทุกอย่างนะ ขายร้านอาหาร ขายอพาร์ตเมนต์ หยุดงานทุกอย่างเลย เพื่อมารักษาตัวเพียงอย่างเดียว เอาเงินมาปลูกบ้านบนดอยหลงม่อนเพื่อดูแลตัวเอง ปลูกผักผลไม้กินเอง ทำอาหารกินเอง กินผักออร์แกนิก กินปลาเป็นหลัก ดูแลตัวเองอย่างเข้มข้นเลย ไม่เครียดไม่กังวล ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เงินทองไม่เอาแล้ว เอาตัวเอาชีวิตให้รอดก่อน เงินเยอะก็ไม่มีความหมายแล้ว ทำงานหนักหาเงินมาเพื่อรักษาตัวก็ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนวิธีการคิดใหม่ ทำใหม่”

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

จากการเจ็บไข้ด้วยโรคร้ายครั้งนี้ มลธิราเล่าว่า เธอได้บทเรียนราคาแพง ได้เห็นมรณานุสติกับตัวเองได้เป็นอย่างดี ว่าที่ผ่านมาได้ใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง คือทำงานหนักกิน นอนไม่เป็นเวลา เครียด วิตกกังวลรีบเร่ง ไม่ใส่ใจกับเรื่องกินอย่างดีเท่าที่ควร ใช้ร่างกายอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“พื้นฐานเราเป็นเด็กบ้านนอก ยากจน เรียนหนังสือน้อย คิดแต่จะสร้างเนื้อสร้างตัว ทำงานหาเงิน อยากจะรวยอย่างคนอื่น มาเจอเพื่อนฝูงมีหน้ามีตาเราก็อยากจะทำตัวทัดเทียมกับเขา หาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม แบบที่ว่ามีเงินนับเป็นน้องมีทองนับเป็นพี่ เราอยากยกระดับตัวเอง ก็เลยหาแต่เงินจนลืมดูแลตัวเอง พอเจ็บป่วย นี่ได้ข้อคิดหลายอย่าง ใครที่เป็นเพื่อนแท้ ใครที่รักหวังดีกับเราจริงๆ ถึงเวลาที่เราจะมาดูแลตัวเองรักตัวเองได้แล้ว นี่นับว่าเป็นความโชคดีที่รอดมาได้ 4 ปี ของการรักษา นี่จำขึ้นใจไม่มีวันลืม สาหัสสากรรจ์มาก นึกทีไรก็ยังขยาดทุกครั้ง ตอนนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เรารอดมาได้เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง จะทำเวลาที่เหลือในชีวิตให้ดีที่สุด” เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

บ้านรถได้แค่ชาตินี้ กรรมดีได้ถึงชาติหน้า...

มรณานุสติที่มลธิราได้มา ก็คือ เงิน ทอง บ้าน รถ ได้แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่กรรมดีกรรมชั่วจะติดตามเราไปยังชาติหน้า เวลาของชีวิตที่เหลือนับแต่นี้ไป นอกจากมุ่งมั่นรักษาตัวดูแลตัวเองให้กลับมาแข็งแรงให้มากที่สุดแล้ว อีกอย่างที่ตั้งใจจะทำให้มากที่สุด ก็คือ การทำบุญให้ทาน คิดดีทำดี ไม่ทำร้ายทำลายใคร เป็นกำลังให้พระพุทธศาสนาเท่าที่จะทำได้ จะช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่โอกาสจะอำนวย เชื่อมั่นในความดี เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่อาจจะไม่ได้ใส่ใจกันเท่าที่ควร ตอนนี้ได้เห็นชัดขึ้นแล้ว ความดีจะช่วยคุ้มครองทำให้หนักเป็นเบาได้

“ตอนนี้ก็มาปลูกบ้านไว้ 4-5 หลัง ที่หลงม่อน พักเองกะน้อง 2 หลัง อีก 3-4 หลัง เวลามีเพื่อนฝูงมาเยี่ยมก็มาพัก ไม่ได้เน้นเอากำไรมากมาย พอเลี้ยงชีพก๊อกๆ แก๊กๆ ทำแบบพอเพียง ไม่ค้ากำไรอะไรอีกแล้ว ตั้งชื่อบ้านก็เป็นบ้านโกยบุญ ต้นบุญ ถึงบุญ เติมบุญ เพื่อเป็นการระลึกให้เราใช้เวลาที่เหลือในการสะสมความดี สะสมการทำบุญให้มากเข้าไว้

 

ตอนนี้คำว่ารวย มีความหมายน้อยกว่าคำว่ารอดแล้วล่ะ เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างรู้คุณค่าไม่หลงทางหลงผิดอีกต่อไป ตอนนี้อายุ 49 ชีวิตก็เริ่มนับถอยหลังแล้ว คิดดีทำดี เอาความดีติดตัวไปดีกว่า เงิน บ้านรถก็เอาไปไม่ได้แล้ว เอาความดีไว้คุ้มครองตัวเองแล้วล่ะ นับจากนี้ไป” เธอกล่าวอย่างเข้าใจชีวิตและได้เรียนรู้จากความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ผ่านมาที่สอนใจได้มากมาย

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว

 

มรณานุสติ ที่ไม่มีวันลืม จากมะเร็งเม็ดเลือดขาว