ตะกั่วป่า : เมืองเก่า คนเก๋า
ได้เวลาเปิดประตูเมือง “ตะกั่วป่า” พาย้อนไปสู่เมืองเก่า “ตะโกลา” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าสำคัญฝั่งทะเลตะวันตก
โดย...กาญจน์ อายุ
ได้เวลาเปิดประตูเมือง “ตะกั่วป่า” พาย้อนไปสู่เมืองเก่า “ตะโกลา” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าสำคัญฝั่งทะเลตะวันตก เคยเจริญถึงขีดสุดจากการทำเหมืองแร่ และเป็นแผ่นดินแม่ของชาวบ๊ะบ๋า
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวอินเดียในหนังสือมิลินทปัญหา ระบุว่า เมื่อปี พ.ศ. 500 เมืองตะกั่วป่าเป็นเส้นทางเดินเรือของพ่อค้าชาวอาหรับผ่านแม่น้ำตะกั่วป่า จ.พังงา ข้ามฝั่งไป อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนชาวจีนฮกเกี้ยนเข้ามาปลายรัชกาลที่ 3 เริ่มจากการเป็นกุลีจนได้เป็นนายเหมือง
สมัยนั้นตะกั่วป่าถูกยกเป็นจังหวัด กระทั่งรัชกาลที่ 7 ลดระดับให้เป็นอำเภอ พร้อมๆ กับบทบาทของเมืองท่าที่ลดความสำคัญลง และลดถึงขีดสุดเมื่อการทำเหมืองแร่ดีบุกยุติ เมืองนี้จึงเหมือนถูกปิดกลายเป็นเพียงเมืองผ่านสู่ภูเก็ต ชาวตะกั่วป่าจึงช่วยกันเปิดเมืองให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งผ่านโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำปีชื่อ งานเปิดเมืองตะโกลา วันทาพระศรีบรมธาตุ ตอน จากเมืองตะโกลาถึงเมืองตะกั่วป่า จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 ก.พ. 2559 บนถนนอุดมธาราและถนนศรีตะกั่วป่า ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าที่สามารถเล่าประวัติศาสตร์ได้เห็นภาพชัดเจน
นั่งสองแถว เหวนเมืองตะโกลา
ภายในงานมีกิจกรรม นั่งสองแถวเหวนเมืองตะโกลา ให้บริการวันละ 1 รอบ เสียค่าใช้จ่ายคนละ 50 บาท โดยรถสองแถวหรือที่คนภูเก็ตเรียกว่า รถโพถ้อง จะทำหน้าที่เป็นไทม์แมชชีนพานักท่องเที่ยวท่องอดีตเมืองตะโกลา มีจุดจอดอยู่ที่โรงเรียนเต้าหมิง โรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกใน จ.พังงา มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบชิโน-นีโอคลาสสิก ที่ได้รับอิทธิพลมาจากคนจีนโพ้นทะเลและคนอังกฤษที่เข้ามาจากปีนัง โดยโรงเรียนเต้าหมิงถูกสร้างขึ้นจากชาวจีนด้วยเงิน 2 หมื่นบาท และเงินบริจาคจากพ่อค้าขายแร่ดีบุก เน้นการสอนภาษาจีน มีการเรียนภาษาไทยเพียง 1 ชม. แต่ปัจจุบันไม่มีการเรียนการสอนแล้ว
จุดที่สอง บ้านนายอำเภอคนแรกของตะกั่วป่า สร้างก่อนโรงเรียนเต้าหมิง 5 ปี เป็นทรัพย์สินของตระกูล ณ นคร ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านในอาคาร อยู่ติดกับจุดที่สาม วัดเสนานุชรังสรรค์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมเหมือนวัดมหรรณพารามที่กรุงเทพฯ ภายในพระอุโบสถมีของล้ำค่า 2 อย่างคือ ธรรมาสน์หลวงของรัชกาลที่ 5 และตู้เก็บพระไตรปิฎก จุดต่อไป จวนเจ้าเมืองตะกั่วป่าและกำแพงค่าย โบราณสถานที่เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งจวนของพระยาเสนานุชิต หรือ นุช ณ นคร ล้อมรอบด้วยกำแพงค่ายสูง 3.8 ม. ยาว 158 ม. คาดว่าสร้างเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนโดยใช้วัสดุกรวดทรายผสมปูน ไม่มีอิฐ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมาเพิ่งมีงานบวงสรวงเจ้าเมืองและใช้เป็นสถานที่จัดแสดงโขนเล่าประวัติความเป็นมาของตะโกลา
จากนั้นแวะร้านเต้าส้อแม่อารีที่สืบทอดตำรับมาเป็นรุ่นที่ 3 อายุกว่า 100 ปี คุณแม่นิลรัตน์ ทายาทรุุ่นหลานเล่าว่า ก๋งเป็นคนจีนโล้สำเภามาขึ้นที่เมืองไทย ทำเต้าส้อหาบเร่ขายตามบ้านโดยเริ่มแรกมีไส้เค็มกับไส้หวานทำจากถั่วเขียวซีก จนทุกวันนี้ก็ยังใช้สูตรเดิมที่เพิ่มเติมคือ เตาอบแทนเตาอั้งโล่ และไส้ฟักกับถั่วดำ แต่ละวันผลิตได้วันละ 500 กล่อง และขายดิบขายดีไม่หนีจากยอดการผลิต
รถสองแถวจะไปสิ้นสุดเส้นทางที่ถนนวัฒนธรรมหรือถนนศรีตะกั่วป่า ชาวบ้านจะนำอาหารจากตลาดออกมาขาย วัยรุ่นนำของทำมือออกมาจำหน่าย ส่วนนักท่องเที่ยวมีหน้าที่จับจ่ายตามอัธยาศัย ทั้งนี้ถ้าไปเที่ยวหลังวันงานสามารถปั่นจักรยานแทนได้ เพราะทุกจุดอยู่ใกล้กัน ถนนเอื้อต่อนักปั่น และสองข้างระหว่างทางมีมุมเล็กมุมน้อยที่ต้องใช้แต่จักรยานเท่านั้นจึงเข้าถึง
สตรีทอาร์ต สตรีทฟู้ด
ถนนศรีตะกั่วป่ายาวประมาณ 500 ม. ถูกทำให้เป็นถนนสายอาร์ตเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2558 ที่ผ่านมา หลังจากคณะกรรมการเมืองเก่าตะกั่วป่ามีไอเดียให้ศิลปินท้องถิ่นนาม เอกชัย แซ่ตัน วาดสตรีทอาร์ตตามกำแพง ตามเสา เพื่อบอกเล่าตัวตนของเมือง เช่น ภาพคนร่อนแร่ ภาพรถสองแถว ภาพสัตว์นำโชคของจีน รวมทั้งสิ้น 13 ภาพ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ สถาปัตยกรรมชิโน-นีโอคลาสสิกและความคลาสสิกของร้านรวง เช่น ร้านฮัวหลอง รับซ่อมนาฬิกาและขายนาฬิกาโบราณ ร้านอัญชลี รับตัดชุดเจ้าสาว ร้านดวงพร ขายผ้าบาติก ในตึกแถวเก่าลักษณะหน้าแคบแต่ลึก หน้าบ้านมีอาเขตสำหรับเดินเชื่อมถึงกัน และมีลายปูนปั้นศิลปะของจีน
บ้านที่มีความสำคัญเป็นพิเศษคือ ชมรมชาวบ๊ะบ๋าฝั่งทะเลอันดามัน ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาไว้ว่า คำว่า บ๊ะบ๋า หมายถึง ลูกที่เกิดในแผ่นดินแม่ นั่นคือ แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นจีน มีลูกเรียกว่า บ๊ะบ๋า (หรือที่ต่างชาติเรียกว่า พารานากัน) คนกลุ่มนี้จะมีวัฒนธรรมเฉพาะ เช่น การแต่งกาย เสื้อผู้หญิงจะมีลักษณะคอตั้งแบบจีน แขนเสื้อจีบแบบมาเลเซีย ลำตัวสั้นแบบชาวมอญ และนุ่งผ้าถุงแบบอินโดนีเซีย อันมีนัยว่า เรือสำเภาที่ชาวจีนโพ้นทะเลใช้ข้ามมหาสมุทรมาได้แวะจอดที่ฟิลิปปินส์ สุมาตรา ปีนัง สิงคโปร์ และค่อยมาหยุดที่ตะกั่วป่า ทำให้วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ติดมากับผู้คนในเรือ เดิมทีชาวจีนที่อพยพเข้ามาเป็นกุลี ขอทาน และคณะงิ้ว แต่ด้วยนิสัยชอบค้าขายทำให้ชาวจีนสร้างฐานะได้อย่างรวดเร็ว พอมีเงินก็สร้างโรงเรียนสอนภาษา (โรงเรียนเต้าหมิง) สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน และสร้างประเพณีของตัวเองอย่างประเพณีกินเจที่สืบทอดมานาน 173 ปี ทำให้มีความเข้มข้นและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
นอกจากนี้ ทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่บัดนี้ถึงอาทิตย์สุดท้ายของเดือน เม.ย.เวลาประมาณ 15.00 น. ถนนศรีตะกั่วป่าจะปิดเป็นถนนคนเดิน ตั้งแผงขายอาหารซึ่งน่าสนใจเพราะขายอาหารท้องถิ่น แม่ค้าเป็นคนท้องถิ่น แตกต่างจากถนนคนเดินในเมืองท่องเที่ยวที่ขายของเอาใจต่างชาติ
งานเปิดเมืองตะกั่วป่าครั้งนี้ถ้าพูดให้ถูกต้องเติมคำว่า ครั้งที่ 2 เพราะเมื่อปีที่แล้วได้จัดงานเปิดเมืองเช่นกันแต่กระแสเงียบกริบประหนึ่งลืมปลดล็อกกลอนประตู กระนั้นทางเทศบาลตะกั่วป่าและคณะกรรมการเมืองเก่าตะกั่วป่าก็ยังไม่หมดกำลังใจ ต่างช่วยกันสร้างเมือง สร้างกระแส สร้างรายได้ให้คนท้องถิ่น
เวลานี้ประตูเมืองตะกั่วป่าเปิดต้อนรับอย่างเป็นทางการแล้ว นักท่องเที่ยวแค่เหยียบเบรกแล้วแวะดูให้เห็นกับตา อย่าทำเหมือนที่ผ่านมาเพราะตะกั่วป่าไม่ใช่เมืองที่จะผ่านไป