posttoday

ภัยแล้งไม่ได้เกี่ยวกับการใช้น้ำของกทม.

12 มีนาคม 2559

สมาชิกหมายเลข 1642144

สมาชิกหมายเลข 1642144

กรุงเทพไม่มีน้ำประปาใช้เป็นเรื่องไร้สาระปัญญาอ่อน

กรุงเทพมหานครไม่มีน้ำประปาใช้เป็นเรื่องตลกไร้สาระมาก ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพชั้นในย่าน ศก. การค้าและการปกครอง ยังไงเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ส่วนนี้มีน้ำกินน้ำใช้เพราะหากย่านใจกลางกรุงเทพ ซึ่งสร้าง GDP มากมายมหาศาลมากกว่าพื้นที่เกษตรใดในประเทศต้องขาดน้ำแล้วมันจะสร้างความเสียหายรุนแรงมากมายนัก

ถ้าเป็นจังหวัดปริมณฑล หรือชายขอบฝั่งธนบุรียังพอมีความเป็นไปได้บ้าง ผมกล้าพูดเลยว่าเป็นเรื่องไร้สาระมากกรุงเทพขาดน้ำกินทั้งพื้นที่

น้ำประปาในกรุงเทพส่วนใหญ่โดยเฉพาะย่านใจกลาง ศก. รับมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา-ช่วงอำเภอเมืองปทุมธานีบริเวณปากคลองประปาติดกับวัดสำแล น้ำดิบตรงนี้จะถูกสูบเข้าคลองประปาสู่สถานีผลิตน้ำสามเสน บริเวณนี้น้ำไม่เคยแห้ง และไม่มีทางน้ำแห้งเพราะมันไม่ใช่ต้นลำน้ำ

มิหนำซ้ำยังอยู่ลึกเข้ามาเกือบถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเรื่องยากมากถ้าน้ำทะเลจะสามารถหนุนมาถึงตรงนี้ได้จนทำให้เป็นน้ำกร่อย หรือน้ำเค็มล้วน

บริเวณตีนสะพานกรุงเทพฝั่งธนบุรีจะมีวัดชื่อ "วัดบางน้ำชน" เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอโยธยาศรีรามเทพนครตอนปลาย มีหลวงพ่อขอมศิลปะสมัยนั้นเป็นพระประธาน

ชื่อวัดก็แปลความหมายได้ตรง ๆ ว่า "บางที่น้ำมาชนกัน" บริเวณนี้เป็นบริเวณที่น้ำทะเลสามารถหนุนเข้ามาได้จนมาชนกับน้ำจืดบริเวณนี้ ยังไม่เคยปรากฎว่าน้ำทะเล 100% สามารถหนุนได้ถึงพระนครชั้นในจนเค็มตลอดทั้งลำน้ำ

ต่อให้ลำน้ำเจ้าพระยาแห้งจนถึงปากคลองประปาวัดสำแลได้ก็จริงกรุงเทพมหานครยังมีลำน้ำสำรองอีกอย่างน้อย 2 ที่ คือ ลำน้ำแม่กลอง กับลำน้ำบางปะกง

ต่อให้ทั้งสองลำน้ำนี้แห้งผากซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เพราะกรุงเทมหานครเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายน้ำ น้ำทะเลก็คงจะต้องเหือดแห้งไปด้วยถึงจะเป็นเช่นนั้นได้

สรุป

กรุงเทพมหานครชั้นในไม่มีทางไม่มีน้ำกินน้ำใช้ เลิกกังวลกันได้แล้ว ส่วนเกษตรกรตามหัวเมืองประเทศราชชายขอบต้องติดตามการประกาศจากทางราชการอย่างใกล้ชิดและขอแสดงความเห็นใจต่อภัยแล้งที่กำลังประสบ

ป.ล. มหาอุทกภัยปี 2554 ทุกที่ในประเทศไทยท่วมได้ยกเว้นกรุงเทพมหานครชั้นในเขาก็ทำกันมาแล้ว เรื่องน้ำแล้งนี่ธรรมดามาก

เข้ามาเสริมอีกหน่อย

ดังที่กล่าวไปแล้วว่าน้ำดิบที่กรุงเทพมหานครกินใช้อาบกันอยู่ทุกวันนี้ได้มาจากบริเวณอำเภอเมืองปทุมธานี ไม่ได้สูบมาจากต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ต้นแม่น้ำป่าสัก หรือสูบจากเขื่อนโดยตรงเพราะฉะนั้นต่อให้คนทั้งกรุงเทพประหยัดน้ำ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรมีน้ำกินน้ำใช้มากขึ้นเพราะคน 2 กลุ่มน้ำ ไม่ได้ใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันในทางกลับกันไม่ว่าคนกรุงเทพจะใช้สุรุ่ยสุร่ายยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพแล้งน้ำของต้นลำน้ำเลย

การลดการใช้น้ำประปาตามบ้าน มันก็ไม่ได้หมายความว่าการประปาเขาจะสามารถลดกำลังการผลิตได้เลยทันที อย่างไรเสีย เขาก็ยังต้องผลิตน้ำประปาเพื่อรักษาแรงดันภายในท่อประธานเอาไว้ ไม่สามารถหยุดการผลิตลงได้เลยเสียเฉย ๆ หากแรงดันลด-ลง น้ำใต้ดินก็อาจดันเข้าสู่ท่อประธานได้ นำความหายนะมาสู่ระบบการสูบจ่ายน้ำทั่วกรุงเทพมหานคร หายนะกว่าน้ำท่วมอีก

คุณไม่สามารถไปห้ามปรามแม่น้ำไม่ให้มันไหลจากเหนือลงใต้ได้ ต่อให้คนกรุงเทพใช้น้ำน้อยลง น้ำในลำน้ำมันก็ไหลออกสู่ทะเลอยู่ดี แถมไหลทิ้งขว้างเสียด้วยเพราะไม่ได้นำมาผลิตเป็นน้ำประปาหล่อเลี้ยง ศก. ภายในพระนคร

คุณต้องเข้าใจว่าน้ำประปาที่ผลิตขึ้นมา มันไม่ได้เอาไว้ กิน ใช้ อาบ ล้างก้น หรือเปิดทิ้งในน้ำพุเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่มันเป็นตัวขับเคลื่อน ศก. ส่วนหนึ่งด้วยเพราะฉะนั้นน้ำประปาที่ผลิตขึ้นมาไม่ว่าจะถูกนำไปใช้ด้วยเหตุผลใด ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน ศก. ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น กรุงเทพมหานคร

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศกสิกรรมนานมากแล้วอย่างที่โดนเขาล้างสมอง ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศด้านอุตสาหกรรมและการบริการมานานมากแล้ว GDP มาจาก 2 ภาคส่วนนี้ ข้อมูลมีอยู่โดยดาษ

การแก้ปัญหาภัยแล้วในพื้นที่เกษตรกรรม จึงไม่ใช่การลดการใช้น้ำภายในกรุงเทพมหานคร ต้นเหตุมันไม่ใช่ที่นี่มาแก้ที่นี่มันไม่ได้ประโยชน์ มันต้องแก้ที่ต้นน้ำ จำนวนพื้นที่ป่าไม้ และการสร้างเขื่อน ฝาย เพื่อกักเก็บน้ำ รวมถึงการใช้น้ำตามคำแนะนำของราชการไม่ใช่ดื้อดึงดันแถกทำการเกษตรทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีน้ำ พอผลผลิตเสียหายก็ต้องเอาภาษีของคนอื่นไปอุ้ม ในขณะที่อาชีพอื่น ๆ ทำงานผิดพลาดแบบนี้บ้างไม่เห็นมีใครมาอุ้มชูบ้างเลย ทั้ง ๆ ที่พลาดเองทั้งนั้น มันต้องพูดถึงประเด็นนี้ด้วย

ฉะนั้น ต่อให้คนกรุงเทพใช้น้ำน้อยลงมันก็ไม่ได้ช่วยให้ภัยแล้งดีขึ้น เพราะเราอยู่ปลายลำน้ำแล้ว

ต่อให้ราชการไม่ปันน้ำมาทำน้ำปะปา การประปา ฯ ก็ยังคงต้องปันน้ำมาดันน้ำทะเลอยู่ดี อย่างไรเสียก็ต้องปล่อยน้ำในเขื่อมาดันน้ำทะเลที่ปลายน้ำโดยเสียมิได้ (ถ้าจะมองดูในภาพใหญ่)

ถ้าจะพิจารณาข้อเท็จจริงให้ลุ่มลึกลงไปแล้ว ปริมาณการใช้คนในพระนครต่อหัวจริง ๆ นั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับภาคเกษตรกรรม ต่อให้คนพระนครกรุงเทพใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายสักเท่าไหน ก็ทำประหยัดขึ้นได้วันนึงเพียงหลักลิตี

เทียบกับทำนาแปลงเล็ก ๆ แปลงหนึ่งใช้ต่อวัน นั้นใช้น้ำเท่ากับคนพระนครใช้เกือบทั้งเดือน หนึ่งคนทำกี่แปล หนึ่งจังหวัดทำกี่แปลง แล้วทั้งภาคหลางเล่าท่าน

เทียบกันด้วยความจริงจะเห็นได้ว่าภาคเกษตรกรรมนั้นใช้น้ำมากกว่าคนพระนครมากมายนัก

อีกประเด็นที่สำคัญมาก กล่าวคือ การใช้น้ำของคนกรุงถึงจะปล่อยน้ำทิ้ง สุรุ่ยสุร่ายอย่างไรแต่น้ำที่ทิ้งนั้นน้ำไม่อาจหายได้ไปเสียเฉย ๆ เหมือนรถเผาน้ำมันเบนซิน สุดท้ายแล้วน้ำทิ้งของคนเมืองจะเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียและระบายน้ำกลับเข้าคูคลองในระบบ

ต่างจากภาคเกษตรที่มีการผันน้ำเข้าแก้มลิง เข้าบ่อพัก ผันเข้ากักตุนในพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นการนำน้ำออกจากระบบอย่างแท้จริง

ฉะนั้น จะให้คนพระนครประหยัดน้ำเพื่อช่วยเกษตรกรจึงเป็นตลกเหลวไหลไร้สาระ และไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รากเหง้า แต่ที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่าจะไม่เห็นใจหัวเมืองประเทศราชชายขอบขัณฑ์แต่ประการใด แต่อยากชี้ให้เห็นว่าภัยแล้งไม่ได้เกี่ยวกับการใช้น้ำของพระนคร และการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงเห็นผลได้ต้องแก้ที่ต้นน้ำ ไม่ใช่ปลายลำน้ำเยี่ยงนี้

ที่มา ความคิดเห็นที่ 7 http://pantip.com/topic/34895001