ความ (ไม่) รู้ คู่กายหญิง
ความเชื่อและความไม่เชื่อ ความรู้และความไม่รู้ที่อยู่คู่กายหญิง เอาเข้าจริงก็มีเยอะมาก ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นผู้หญิง 2 นางที่ช่วยกันนับในจุดนั้นจุดนี้จนเหนื่อย
โดย...วันพรรษา-กองทรัพย์ ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ความเชื่อและความไม่เชื่อ ความรู้และความไม่รู้ที่อยู่คู่กายหญิง เอาเข้าจริงก็มีเยอะมาก ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นผู้หญิง 2 นางที่ช่วยกันนับในจุดนั้นจุดนี้จนเหนื่อย ได้มาเท่าที่จะเขียนให้อ่านต่อไป และเท่าที่หน้ากระดาษจะอำนวยอวยพร ติดตามได้ ณ บัดนี้
ชอบโรยแป้งในที่ลับเตรียมพบกับมะเร็งรังไข่
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ อธิบายว่า ในสหรัฐมีรายงานทางการแพทย์บ่งบอกว่า การที่ผู้หญิงชอบโรยแป้งบริเวณอวัยวะเพศ อาจจะเป็นเหตุทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ โดยในคนไข้ทั้งหมด 1.2 หมื่นราย พบว่า ผู้หญิงที่ชอบทาแป้งฝุ่นบริเวณจุดซ่อนเร้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้น 30% เท่ากับว่าคนที่ทาจะมีความเสี่ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% ซึ่งสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปที่มีความเสี่ยง 1.4%
อย่างไรก็ตาม องค์การวิจัยระหว่างประเทศยังไม่ได้จัดว่าสารทัลก์ (Talc) ซึ่งเป็นสารสำคัญในแป้งฝุ่นโรยตัว เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ “มีความเป็นไปได้ที่การทาแป้งฝุ่นบริเวณอวัยวะเพศจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง”
พญ.หยิงฉีหวัง หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมนรีเวช โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้อง กล่าวว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่รองรับว่าสารทัลก์ (Talc) หรือทัลคัม (Talcum) จะทำให้ผู้ใช้หรือผู้ทาแป้งบริเวณอวัยวะเพศเป็นมะเร็งรังไข่ หากเป็นเพียงกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเท่านั้น
ความรู้คู่กายก็คือ ถ้าเป็นบริเวณนั้น ไม่ใช่เฉพาะแป้ง แต่ไม่ควรทาอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี สารสมุนไพร ครีมหรือโลชั่นทุกชนิด การดูแลอวัยวะเพศหญิงที่ดีที่สุด คือ การทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าและสบู่อ่อน กรณีเป็นสบู่เหลวสำหรับจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะ ก็ใช้ได้บ้างนานๆ ครั้ง แต่ไม่ใช่ใช้ทุกวัน
“บริเวณนั้นระคายเคืองง่าย เป็นเนื้อเยื่ออ่อนที่เป็นจุดเซนซิทีฟ ยาหรือครีมต่างๆ ต้องงดเด็ดขาดเพราะเราไม่รู้ว่ามีสารประกอบอะไร หรือมีผลต่ออวัยวะหรือเปล่า สรุปแล้วไม่ควรทาอะไรทั้งนั้น หรือทาแล้วก็ต้องล้างให้สะอาด”
ด้าน นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 1973 สหรัฐออกกฎหมายห้ามแร่ใยหิน (Asbestos) ซึ่งเดิมเป็นส่วนประกอบในแป้งฝุ่น หากในเวลาต่อมาได้มีการใช้ทัลคัมในแป้งฝุ่นแทน หากกลไกที่ชวนให้สงสัยเรื่องแป้งฝุ่นโรยจุดซ่อนเร้น ก็คือ การที่ “อณู” (Particle) ที่ละเอียดของแป้งนั้นสามารถผ่านช่องคลอดเข้าสู่โพรงมดลูกและปีกมดลูกจนไปถึงรังไข่ เข้าไปแล้วก็ไม่มีทางออกไปไหน คงอยู่แบบยั่งยืนในนั้นไปชั่วนาตาปี
หากในเรื่องนี้ยังไม่ได้ยืนยันฟันธงลงไปว่า แป้งจะทำให้เกิดมะเร็งเสมอไป ยังคงต้องใช้เวลาในการทำงานวิจัยต่อไป แต่ถ้าแป้งฝุ่นนั้นมี “แร่ใยหิน” ปนเปื้อน อันนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง ไม่ควรใช้ทาเลยไม่ว่าตรงไหนๆ ของร่างกาย
กรณีเรื่องที่บริษัทแป้งแพ้คดีนั้น ในแวดวงนักวิชาการก็ยังไม่ได้ถือว่าแป้งฝุ่น Talc ทำให้เกิดมะเร็งอยู่ดี ด้วยหลักฐานที่ยังสรุปลงไปไม่ได้ถึงขั้นนั้น IARC (International Agency for Research on Cancer) ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติได้จัดให้ Talc ที่ใช้ทาจุดซ่อนเร้นเป็น Possibly Carcinogenic to Human คือมีความเป็นไปได้เท่านั้น
“ในเรื่องนี้ American Cancer Society ก็เห็นคล้ายกัน คือ ไม่ได้ฟันธงลงไปว่าโรยจุดซ่อนเร้นด้วยแป้งแล้วจะเป็นมะเร็งรังไข่ คำแนะนำก็คือไม่ควรใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณดังกล่าว ถ้ารำคาญความเปียกชื้น ควรใช้ผ้านุ่มซับเบาๆ ใส่เสื้อผ้าที่สามารถระบายลมได้ดี หรือใช้แป้งทางเลือกที่ทำจากข้าว ซึ่งจะไม่มีทัลคัมเลย แต่ดีที่สุดคือปล่อยไว้อย่างนั้น อย่าโรยจุดเสี่ยง ผู้หญิงบางคนทาแป้งฝุ่นบางๆ ที่แผ่นซับอนามัยแล้วแปะเข้าไป โอ้! อย่างนั้นต้องเลิกเลย”
แวกซ์ขนรักแร้แล้วทาโรลออน ระวัง!
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พญ.หยิงฉีหวัง เล่าว่า ในโรลออนมีแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้มีผลแต่เรื่องฆ่าเชื้อโรคอย่างเดียว หากสร้างความระคายเคืองแก่ผิวได้ ในบางรายแพ้อย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีสารกันบูด ที่ในบางรายก็แพ้อีก รูขุมขนอักเสบ เนื้อเยื่ออักเสบ รักแร้เป็นหนอง ส่วนที่จะสะสมจนกลายเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระยะยาวยังไม่มีงานวิจัยยืนยัน โกนหรือแวกซ์ขนข้างบนแล้วควรทิ้งไว้ โดยไม่ทา
โรลออนหรือน้ำหอมเลยเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 6 ชั่วโมง
นพ.กฤษดา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โรลออนที่มีอะลูมิเนียมผสมนั้น ใช้เพื่อลดเหงื่อ ปัจจุบันมีการศึกษาเกี่ยวกับอะลูมิเนียมในโรลออนกับ “มะเร็งเต้านม” แต่ยังไม่ฟันธงลงไป หากแต่พบว่าสาวๆ ที่โกนขนใต้วงแขนร่วมกับใช้โรลออนบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนอายุ 16 ปี พบว่ามีมะเร็งเต้านมเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ (จาก European Journal of Cancer 2003)
โกนๆ แวกซ์ๆ ระวังหูดข้าวสุก
เป็นที่รู้กันว่า ธุรกิจกำจัดขนในที่ลับเฉพาะในสหรัฐ ประเทศเดียวมีวงเงินถึง 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีดาราในชุดบิกินี่เป็นตัวชักนำ ถามว่าในทางการแพทย์ การโกนขนอวัยวะเพศดีหรือไม่? ก็ยังไม่มีคำตอบจนกระทั่ง เมื่อต้นปี 2013 มีหมอที่ฝรั่งเศส 3 คน ส่งจดหมายถึง บรรณาธิการวารสาร Sex Transm Infect ว่า พวกเขาได้วิเคราะห์คนไข้ที่เป็นโรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) จำนวน 30 คน พบว่า 93% ของคนไข้ได้โกนขนที่อวัยวะเพศเกลี้ยง โดยใช้วิธีโกนด้วยมีดโกน 70% ที่เหลือใช้วิธีใช้กรรไกรตัด 13% และใช้วิธีแวกซ์ 10% ทั้ง 3 ได้เสนอความเห็นว่า การกำจัดขนในที่ลับทำให้เกิดการติดเชื้อหูดข้าวสุกมากขึ้น เพราะการโกนขนทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวหนัง ทำให้ไวรัสหูดข้าวสุกเกิดขึ้นได้ง่าย แต่นี่เป็นหลักฐานที่เป็นเพียงการติดตามดู ไม่ใช่ผลวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ผลจึงสามารถเชื่อได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
ข้อมูลจากหน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่า หูดข้าวสุกเป็นโรคที่ยังคงพบได้อยู่สม่ำเสมอ เนื่องจากโรคสามารถติดต่อโดยการสัมผัสทางผิวหนัง จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง หรือจากผิวหนังที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งในคนเดียวกัน สามารถพบได้ทุกวัย โดยมักแสดงอาการในผู้ที่มีภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอ ในวัยเจริญพันธุ์มักพบรอยโรคที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จึงถือได้ว่าเพศสัมพันธ์เป็นการถ่ายทอดเชื้อโรคอีกวิธีหนึ่ง
การถ่ายทอดเชื้อเกิดขึ้นด้วยการสัมผัสโดยตรง ในผู้ใหญ่มักเป็นเฉพาะที่บริเวณอวัยวะเพศ แต่การติดเชื้อนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณผิวหนังชั้นนอก ไม่มีการเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือดหรือระบบประสาท ดังนั้นจึงไม่มีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว อ่อนเพลีย หรือปวดเมื่อยนำมาก่อน มีอาการเฉพาะที่ เริ่มจากมีจุดสีแดง ต่อมาเป็นตุ่มเล็กสีแดง และอาจมีตุ่มคล้ายมีสารสีขาวอยู่ภายใน บางครั้งจะมองเห็นเป็นจุดบุ๋มตรงกลาง ลักษณะคล้ายเม็ดสิวแต่ไม่มีการอักเสบ เวลาบีบออกจะได้สารสีขาวข้นเป็นเม็ดคล้ายเม็ดข้าวสุก จึงเรียกว่า หูดข้าวสุก หายได้เองภายใน 6-9 เดือน
อนึ่ง แม้จะระบุไม่ได้ 100% ว่าการโกนขนในที่ลับเป็นสาเหตุของหูดข้าวสุกหรือไม่ แต่ขนของมนุษย์เราไม่ว่าจะเป็นขนในที่ลับหรือที่แจ้ง ก็มีหน้าที่สำคัญ เช่น ป้องกันฝุ่นและสิ่งแปลกปลอม ช่วยควบคุมอุณหภูมิแก่อวัยวะ และปกป้องอวัยวะให้คงความไวต่อความรู้สึกไว้ได้
นพ.กฤษดา เล่าว่า โกนขนบริเวณอวัยวะเพศแล้ว ต้องยุติบทบาท เอ๊ย ยุติการมีเพศสัมพันธ์ไว้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันเกี่ยวกับการติดเชื้อ ด้วยว่าการโกนหรือแวกซ์จะเปิดรูขุมขนทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ ทั้งหูดข้าวสุก เอชพีวี และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ การโกนทำให้เกิดแผลเล็กๆ ที่ผิวหนัง เรียกว่า ไมโครทรอมา (Micro Trauma) เมื่อมีเพศสัมพันธ์ อาจมีไวรัสหรือเชื้อโรคเข้าไปที่รอยเหล่านี้นั่นเอง หูดข้าวสุกก็ติดเชื้อในลักษณะเดียวกัน ด้าน พญ.หยิงฉีหวัง แนะนำว่า บิกินี่แวกซ์ควรทำก่อนเล่นน้ำจริง 1 วัน โดยวันแรกของการแวกซ์ งดการลงเล่นน้ำในสระหรือที่สาธารณะเพราะติดเชื้อง่าย
รัดสเตย์ช่วยให้ผอม?
พญ.หยิงฉีหวัง ตอบว่า ไม่จริง และอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่น หายใจไม่ได้ แพ้ คัน โดยเฉพาะตอนนอน สเตย์จะทำให้คันและเกาโดยไม่รู้สึกตัว ผิวหนังยิ่งเกิดอาการแพ้รุนแรง บางคนรัดจนผิวหนังอักเสบ กลายเป็นสีดำ ทำให้เลือดจากขาไหลเวียนกลับขึ้นมาที่หัวใจได้ไม่ดี ขาบวม ในบางรายมีเหงื่อมาก ผิวหนังยิ่งมีปัญหา สเตย์ที่ไม่มีคุณภาพก็ทำให้ถ่ายเทอากาศไม่ดี ล้วนแต่มีผลเสียต่อร่างกาย แนะนำให้ใส่ในขนาดความรัดที่พอเหมาะและเว้นระยะการใส่บ้าง โดยเฉพาะตอนนอนหลับ ไม่ควรใส่เลย
เช่นเดียวกับ นพ.กฤษดา ที่เตือนสาวๆ เกี่ยวกับความเชื่ออันหฤโหดนี้ ว่า นอกจากผิวหนังจะเสีย กะบังลมมีปัญหา หายใจได้ไม่เต็มปอด นำมาซึ่งอาการของระบบทางเดินหายใจที่บกพร่องแล้ว ยังอาจทำให้หูรูดบริเวณหลอดอาหารส่วนล่างเปิด กรดกระฉอกขึ้นไปกลายเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ ถ้าตัวใหญ่มากหรือล้นมาก ทั้งเลือกสเตย์ที่รัดจนเกินไป เสี่ยงทำให้ความดันสูงในช่องท้อง เลือกชนิดของสเตย์และเวลาใส่ที่เหมาะสมจะดีกว่า
ตบไขมันให้ผอมสนั่น
ถามจริงๆ ก็ตอบตรงๆ นพ.กฤษดา เล่าตบท้ายเรื่องตบไขมัน ว่า การจะลดพุงมีวิธีตรงไปตรงมา คือ ต้องมีการออกแรงจากเจ้าของพุง (ที่มากพอจะเบิร์นได้) และต้องคุมเข้มปัจจัยสร้างพุง เช่น อาหาร, นอนดึก, ความเครียด ฯลฯ
ดังนั้น การตบไขมันที่เป็นแรงจากภายนอกนั้น จึง “ไม่ง่าย” ที่จะลดพุงได้ เพราะลำพังแค่การตบที่เป็นแรงทางกายภาพเข้าไปเขย่าก้อนไขมันหยุ่นๆ เท่านั้นจะยังไม่พอ โดยเฉพาะถ้าเจ้าของพุงนั้นเป็นคน (รอบเอว) ใหญ่โตมาก
หากว่าการตบเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด น้ำเหลือง และระบบต่างๆ ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัย “การนำไปใช้” ด้วยอยู่ดี ซึ่งวิธีที่ดีสุดก็คือกระตุ้นให้ร่างกายได้ดึงเอาไขมันไปใช้ให้มากกว่าเก็บ อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ลดแล้วต้อง “ล็อก” ไว้ไม่ให้กลับมาสร้างไขมันพอกเซลล์จนอวบอีกเหมือนเดิม เพราะการลดแต่ไขมันเฉพาะส่วนก็เท่ากับชวนให้ร่างกายพยายามแบกไขมันมาเติมส่วนที่ขาดถ้าลดแล้วนั่งเฉยๆ
“สรุปก็คือต้องอาศัยการคุมกิน คุมเก็บ และคุมเกิน ของไขมันไว้อย่างเคร่งครัด เคล็ดลับแห่ง ‘ดรีมทีมสยบไขมัน’ ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ดูแลตัวเองทั้งอาหารและการขยับกายเพื่อละลายไขมัน ไม่ใช่เอาแต่ตบ-กิน ตบ-กิน ไม่ผอมแน่นอน” นพ.กฤษดา เล่า
หลังจากได้ตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้หญิงที่ก่อให้เกิดภัยใกล้ตัวแล้ว ก็อย่าลืมย้อนกลับมาเช็กพฤติกรรมของตัวเองกันหน่อยว่า มีพฤติกรรมเคยชินในแบบที่เขาเล่า (ลือ) กันนี้หรือไม่