‘ยักษ์เขียว’ จอมพลัง
“ยักษ์เขียว” สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลยูโรรอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์
“ยักษ์เขียว” สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลยูโรรอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ถือว่ามีเทพีแห่งโชคเข้าข้างไม่น้อย เมื่อลูกทีมของ มาร์ติน โอนีล จบอันดับ 3 ในกลุ่มดี ได้มาเตะในรอบเพลย์ออฟ และเอาชนะบอสเนีย ด้วยสกอร์รวม 2 นัด ชนะ 3-1 ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้สำเร็จ
งานของไอร์แลนด์ถือว่าสาหัสพอตัว เมื่อต้องอยู่ร่วมกลุ่มอี กับ สวีเดน เบลเยียม และอิตาลี เพราะทั้งสองครั้งที่ผ่านมาในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาจอดป้ายแค่รอบนี้เท่านั้น (ปี 1988 และ 2012) และมีผลงานแพ้รวดทุกนัด ไม่มีแต้ม
นักเตะส่วนใหญ่เล่นกันในลีกสหราชอาณาจักร ทำให้มีทีมเวิร์กที่เข้าขากันได้ดีซึ่งเป็นจุดเด่นของทีม แต่จุดด้อยของนักเตะชุดนี้ นอกจากเกมรับที่เสียประตูง่ายเป็นสิ่งที่นักเตะชุดนี้ต้องปรับปรุงอย่างหนักแล้ว กับพละกำลังที่มักยืนระยะไม่อยู่ ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าห่วง เพราะนักเตะส่วนใหญ่อายุมาก
ไม่มีสตาร์ดังเพราะพวกเขาเน้นสปิริตทีมเป็นหลัก จะมีเพียง 3 ประสานเกมรุกที่พอไว้ใจได้บ้าง เช่นดาริล เมอร์ฟี่ (อิปสวิช) เชน ลอง (เซาแธมป์ตัน) และ ร็อบบี้ คีน (แอลเอ กาแล็กซี่) โดยเฉพาะ คีน ที่มีประสบการณ์ในเกมระดับชาติมากที่สุด โดยกองหน้าวัย 35 ปี ยิงประตูให้ทีมชาติไปแล้ว 67 ประตู จากการลงเล่น 143 นัด
“ผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ลงเล่นในนามทีมชาติ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของผมในนามทีมชาติ แต่ผมต้องการสร้างประวัติศาสตร์พาทีมไอร์แลนด์เข้ารอบสองให้ได้ มันเป็นความใฝ่ฝันของผม ก่อนที่ผมจะเลิกเล่น” กองหน้าจอมเก๋า กล่าว
ขณะที่ โอนีล ยอมรับเป็นรองทุกชาติในกลุ่มอี แต่เชื่อว่าน่าจะสู้ได้สนุกและสูสี เพราะมั่นใจในศักยภาพของนักเตะ “หลายคนถามผมว่า คุณจะยิงประตูอิตาลีหรือเบลเยียมได้หรือไม่ ผมไม่สนใจคำถามเหล่านั้น ผมมั่นใจในลูกทีมแน่นอน แต่บางครั้งฟุตบอลมันต้องมีเทพีแห่งโชคด้วย” อดีตกุนซือ แอสตัน วิลลา กล่าว
เป้าหมาย หวังสร้างประวัติศาสตร์พาทีมฝ่าฟันเข้าไปเล่นรอบสอง (น็อกเอาต์) ให้ได้ แต่ดูเส้นทางยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก เพราะนัดแรกพวกเขาต้องพบกับสวีเดน (13 มิ.ย.) ตามด้วยเบลเยียม (18 มิ.ย.) และปิดท้ายที่อิตาลี (แชมป์โลก 4 สมัย 1934, 1938, 1982 และ 2006) วันที่ 22 มิ.ย.