คงศักดิ์ นิมิตรเกษม ฝ่าฟันมรสุมด้วยรัก
เส้นทางชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชีวิตตามขั้นบันไดฝัน คือ เรียนจบ ทำงาน และแต่งงานมีครอบครัว มีลูกชายคนแรก
โดย...กองทรัพย์
เส้นทางชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชีวิตตามขั้นบันไดฝัน คือ เรียนจบ ทำงาน และแต่งงานมีครอบครัว มีลูกชายคนแรก (น้องอิคคิว) มอบให้เป็นของขวัญและหลานรักของปู่ย่าตายาย ชีวิตที่ราบเรียบนี้เป็นความฝันและความสุขของผู้ชายชื่อ “ตั้ม-คงศักดิ์ นิมิตรเกษม” แต่ชีวิตก็คือชีวิต เส้นทางที่ราบเรียบถูกทดสอบด้วยหนามแหลม มรสุมลูกแรกมาเยือนเมื่อจู่ๆ บ้านที่เคยอาศัยและใช้ทำมาหากินถูกเวนคืน ที่ดินที่เคยเป็นกิจการร้านอาหารของครอบครัวกลายเป็นเส้นทางรถไฟฟ้า
“กิจการขายอาหารที่เหมือนจะไปได้ดี ก็สั่นคลอนเพราะว่าเขาเวนคืนที่ดินเพื่อนำไปสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า ผมกับภรรยาก็ต้องย้ายออกมา เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่เช่า กรรมสิทธิ์ไม่ใช่ของเรา เขาเวนคืนที่ดินก็ต้องคืนเขาไป ตอนนั้นน้องอิคคิวกำลังเด็ก เราก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตกันต่อไปดี แม่ยายของผมแนะนำให้ไปตั้งตัวใหม่ที่ จ.ปทุมธานี เราสองคนก็เลยเลือกทิ้งทุกอย่างที่เดิมไปเริ่มต้นใหม่”
การโยกย้ายแหล่งทำมาหากินเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ด้วยหวังว่าคลื่นชีวิตจะสงบลงบ้าง แต่ยังไม่ทันจะเริ่มต้นนับหนึ่ง ชีวิตก็กลับมาติดลบด้วยมรสุมลูกที่สอง พ่อตั้มย้อนวันวานว่า “มรสุมลูกนี้มากับน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ปทุมธานีเจอหนัก ทุนของที่เราลงไปเพื่อหวังจะขายของรอบใหม่ก็ไหลไปกับน้ำท่วม ตอนนั้นค่อนข้างท้อแท้เลยล่ะ แต่ก็คิดหวังกันใหม่ว่าเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจย้ายไปที่บ้านเกิดภรรยาคือ จ.อุดรธานี ไปตั้งตัวกันใหม่ พวกเราใช้เวลาด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน ผ่านร้อนผ่านฝนด้วยกัน เราเริ่มต้นด้วยการขายของเล่นหน้าโรงเรียน ลูกชายคนโตค่อยๆ เติบโตขึ้นพร้อมเข้าโรงเรียน และลูกสาวคนเล็กก็ค่อยๆ เจริญวัย ผมคิดว่าคงต้องกลับไปทำงานประจำเพื่อให้มีรายได้มากพอที่จะส่งเสียให้เขาได้สบาย”
เมื่อกลับไปทำงานประจำพ่อตั้มทุ่มเทเวลาให้กับงานเพื่อผลตอบแทนที่กลับเข้ามาที่มากขึ้น ด้วยหวังว่าความเป็นอยู่ของครอบครัวจะสะดวกสบาย แต่ก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นานนัก และแม้ที่ผ่านมาจะเจอมรสุมชีวิตมากี่ลูกเขาก็ยังผ่านมาได้ แต่ไม่มีครั้งไหนที่กระหน่ำรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตอีกครั้ง
วันที่ลูกชายกลายเป็นตุ๊กตา
ในงาน Healthy Talk โดยอลิอันซ์ อยุธยา เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา พ่อตั้มเล่าย้อนถึงลูกชายหน้าตาน่ารัก แต่ทว่านอนนิ่งให้เขาดูแลอยู่ที่บ้าน เด็กชายที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นพ่อคนใหม่ ว่า “ตอนนี้ลูกชายผมนอนเป็นตุ๊กตาน่ารักๆ อยู่ที่บ้านที่ จ.อุดรธานี ถ้าใครได้ติดตามโลกโซเชียล อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของน้องอิคคิวเจ้าชายนิทรา หรือน้องอิคคิวลูกชิ้นปลาติดคอ ก็คงพอจะคุ้นเคยกันอยู่ หลายครั้งที่ผมต้องแชร์เรื่องราวของอิคคิวในสื่อ แต่ผมยินดีที่จะบอกเล่าเรื่องราวของน้องให้เป็นอุทาหรณ์ และร่วมส่งกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่พบเจอเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตให้มีกำลังใจที่จะเดินต่อ”
พ่อตั้มคนเดิมเคยตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เพราะอยากมีเงินเยอะๆ เพื่อสร้างชีวิตให้มีความสุข ทำหน้าที่พ่อและพนักงานบริษัทควบคู่กันไป “ตอนนั้นอิคคิวกำลัง 6 ขวบ กำลังซนมาก ผมทำงาน 6 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น น้องเลิกบ่าย 3 เรากลัวว่าเขาจะเหงาก็เลยส่งเขาไปเรียนตีแบตมินตันที่คอร์ต เราคิดว่าเขาคงสนุกและสถานที่ปลอดภัย เขามีกิจกรรมทำต่อเนื่อง ทุกวันเขาก็เรียนหนังสือมาก็เหนื่อยแล้วยังจะต้องมาตีแบตอีก”
เย็นวันที่ 14 ก.ย. 2556 เป็นวันที่พ่อตั้มจำได้ไม่ลืม เขาย้อนภาพเหตุการณ์วันนั้นราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อวาน “เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน อิคคิวก็ไปตีแบตที่ชมรมตามปกติ ตอนที่ผมไปรับกลับบ้านเขาบ่นว่าหิวข้าวมาก ผมก็เลยบอกว่ายายทำสุกียากี้ไว้รอที่บ้าน พอกลับถึงบ้านยาย อาหารก็พร้อมแล้ว ตอนนั้นเราคิดว่าเขาโตแล้วก็ปล่อยให้กินข้าวเอง แต่ลืมคิดไปว่าเขาบอกว่าหิวมาก เลยทำให้อาจจะรีบกิน พวกเราล้อมวงกินสุกี้ผ่านไปไม่กี่นาที อิคคิวก็มีอาการผิดปกติ มือหนึ่งกำคอ อีกมือหนึ่งควานหาอะไรสักอย่าง แต่ตอนแรกผมเข้าใจว่าน้องคงร้อน แต่สักพักเขาก็ลงไปดิ้น วินาทีนั้นผมและภรรยารู้ทันทีว่าอะไรติดคอลูก ก็เลยรีบช่วยปฐมพยาบาล แต่ด้วยเราไม่รู้วิธีปฐมพยาบาลคนที่อาหารติดคอ จำวิธีจากละครที่เคยดูมาก็ไม่ได้ผล เอาอาหารที่คาอยู่ในลำคอออกมาไม่ได้ เราตัดสินใจพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ใช้เวลาเดินทาง 7 นาที น้องอิคคิวตัวเริ่มเขียว เป็น 7 นาทีที่ยาวนานมากสำหรับผม ทันทีที่ถึงห้องฉุกเฉิน บอกพยาบาลว่าน้องอาหารติดคอ หมอพยาบาลรีบกรูกันเข้ามารุมที่ตัวน้อง ทำการคีบอาหารออก”
นาทีชีวิตอันยาวนานและบีบหัวใจคนเป็นพ่อยังไม่สิ้นสุด เมื่อคุณหมอต้องทำการปั๊มหัวใจเรียกชีพจรเด็กชายวัย 6 ขวบกลับมา “หมอบอกว่าหัวใจน้องหยุดเต้นไปแล้ว ปั๊มหัวใจอยู่ประมาณ 3 นาที หัวใจก็กลับมาเต้น เราเห็นว่าหมอยืนคุยกัน แล้วก็เรียกเราเข้าไปคุย หมอปกติถ้าหัวใจหยุดเต้นไป 3 นาทีมันคือวิกฤต แต่ลูกชายเราหัวใจหยุดเต้นไปเกือบ 10 นาที เรียกกลับมาได้ก็ปาฏิหาริย์”
พ่อตั้มเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า “อิคคิวกลับมาไม่ใช่ในสภาพที่ไม่ใช่ลูกชายคนเดิม แต่อยู่ในร่างลูกชายคนเดิม เราเข้าไปกอดไปหอม ไปเรียก ร้องไห้ เขาก็ไม่ไหวติง มีแต่อาการเหม่อลอย เขาไม่ตอบสนองอะไรไม่ได้ ที่ทำได้คือหายใจและขับถ่ายได้เอง อิคคิวนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เดือนกว่าๆ วันหนึ่งหมอมาบอกว่าจะต้องเอาลูกชายกลับไปดูแลกันเองที่บ้านแล้วนะ ผมก็บอกภรรยาว่าไม่เป็นไร ผมจะลาออกจากงานมาดูแลลูกเอง และผมก็ให้สัญญากับเขาว่า ถ้าผมดูแลอิคคิวแล้วไม่ต้องห่วงผมจะดูแลร่างกายเขาให้เหมือนเดิมที่สุด”
ตกผลึกเปลี่ยนเป็นพ่อคนใหม่
ในวันที่เขาตัดสินใจว่าจะดูแลลูกชายคนโตด้วยตัวเอง เขามีความหวัง เขาทุ่มเทความรักทั้งหมดส่งให้เด็กชายที่ค่อยๆ เติบโต ทว่าไม่สามารถวิ่งเล่นเช่นเด็กชายอื่นๆ เขาแบกความกดดัน และเลือกปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ตัดขาดสังคม และจมอยู่กับความเครียด เรียกได้ว่าทั้งวันเกือบ 24 ชั่วโมง ผมทำอยู่แบบนั้น วันแล้ววันเล่าจนครบ 1 ปี
“ผมอยู่กับทุกอย่างจนวันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ไหว เพราะเครียดและร่างกายก็ทรุดโทรม เพราะวันหนึ่งแทบไม่ได้นอน ร่างกายอ่อนแอ จิตใจมันท้อแท้ แต่หนึ่งปีมันก็มากพอที่จะทำให้ผมตกผลึกกับตัวเอง และเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ เมื่อก่อนผมเข้าใจว่าการที่ผมทำงานล่วงเวลาเยอะๆ จะมีเงินเยอะและลูกจะมีความสุข แต่จริงๆ ผมคิดผิด เพราะสิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่ของแพง แต่มันคือเวลา
“ผมเริ่มยอมรับความจริง ลูกเราป่วยก็จริง นอนเป็นตุ๊กตาก็จริง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ให้ผมได้ดูแล จากนั้นผมก็เริ่มวางแผนชีวิตใหม่ ผมทิ้งพลังด้านลบไปให้หมด วางแผนการดูแลอิคคิวให้เป็นระบบระเบียบ ต้องทำตารางป้อนข้าว ทำกายภาพ จัดเวลาพลิกตัว เพื่อที่จะให้กล้ามเนื้อในส่วนข้อต่อยังคงมีการได้ใช้งาน ไม่สึกหรอ เผื่อวันไหนที่น้องสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้จะได้ไม่ต้องใช้เวลาอีกนานในการบำบัด เหมือนกับเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย ปรับตัวเองให้ได้เพื่อเขา แล้วสุขภาพเราก็ดีขึ้น อย่างสุดท้ายก็คือการเปลี่ยนพลังด้านบวก ผมดูแลลูกอย่างมีความสุข ผมเปิดเพจน้องอิคคิว (www.facebook.com/น้องอิคคิว) เพราะว่าอยากแบ่งปันประสบการณ์และพลังด้านบวกของพ่อคนหนึ่งให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่อาจจะกำลังมีลูกประสบเหตุการณ์คล้ายน้องอิคคิว”
สิ่งที่ลูกเพจเห็นคือคุณพ่ออารมณ์ดี แต่งตัวตลก บางวันแต่งเป็นฮีโร่ในดวงใจลูก บางวันแต่งคอสเพลย์ หรือบางวันมีท่าตลกประหลาด เรียกรอยยิ้มในความเศร้าได้ไม่น้อยทีเดียว “ผมแต่งตัวตัวตลกให้ลูกดู ให้คนได้อารมณ์ดี ลูกผมก็มีความสุขแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตอบสนองให้เรารับรู้ได้ด้วยเสียงหัวเราะ แต่เขาแสดงออกด้วยอาการที่ดีขึ้น”
ถ้าเจอเรื่องร้ายๆ ยอมรับความจริงให้ได้ วางแผนในชีวิตใหม่ เปลี่ยนพลังให้เป็นด้านบวก แล้วทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นเอง
“พ่อแม่บางคนคิดว่าทำงานเยอะ จะทำให้ชีวิตลูกสุขสบาย แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วลูกต้องการแค่เวลา ในวัยที่ลูกต้องการพ่อแม่ที่สุด เราควรอยู่คอยดูแล และดูการเจริญเติบโตของเขา ก่อนที่เขาจะมีชีวิตของตัวเองเมื่อเขาโตขึ้น สำหรับลมหายใจต่อจากนี้ของผมอยู่ที่ความสุขในการดูแลลูก คอยอยู่แขนเป็นขาให้ สำหรับคนทั่วไปอาจมองว่านี่เป็นภาระที่ไม่มีทางแบกรับไหว แต่ผมโคตรมีความสุข”
ถ้าคุณมีโอกาสได้เข้าไปให้กำลังน้องอิคคิวที่แฟนเพจน้องอิคคิว คุณจะไม่เห็นภาพคุณตั้มในมุมอ่อนแอเลย แต่คุณจะได้เห็นคุณตั้มในมุมสนุกๆ ชายผู้นี้ต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นพลังงานด้านบวก เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองและส่งต่อกำลังใจให้คนอื่นๆ “เรากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ ผมฝากถึงทุกคนที่มีครอบครัวและยังแสดงความรักต่อกันได้ ให้ทำวันนี้ให้เต็มที่ เพราะการแสดงความรักกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตราบใดที่คุณยังมีเวลาทำได้ ขอให้รีบทำ เพราะลูกไม่ต้องการอะไรมากนอกจากเวลา”
วันนี้พ่อตั้มได้ผ่านมรสุมลูกที่ยิ่งใหญ่และยาวนานได้แล้วด้วยความรัก แม้ว่าท้ายที่สุดการป่วยในประเภทนี้แพทย์จะให้คำแนะนำว่าต้องดูแลผู้ป่วยไปเรื่อยๆ และทำใจ แต่พ่อตั้มก็ได้ทำใจเอาไว้แล้ว เขาไม่ได้หวังให้น้องกลับมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ให้กลับมาได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่คนเป็นพ่ออยากได้ก็คือการได้เห็นน้องอิคคิวสามารถตอบสนองได้ พูดบางคำได้ สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ แค่นั้นพ่อตั้มก็พอใจแล้ว และสิ่งจำเป็นคือการรักษาความสัมพันธ์ของลูกสาวคนเล็กและพี่ชายที่นอนนิ่งให้เชื่อมโยงกัน
“ผมฝึกให้ลูกสาวคนเล็กดูแลพี่ชายเขา ตอนเด็กให้หน้าที่ง่ายๆ เช่น บีบนวด จับมือ ทำกายภาพท่าที่เด็กช่วยได้ เผื่อวันที่เราไม่อยู่เขาจะได้อยู่ดูแลกันได้” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างมีความหวัง