เรียนรู้ เรื่อง ‘งูสวัด’ ศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์

06 สิงหาคม 2559

ฉบับนี้ ศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังเกี่ยวกับโรคงูสวัด

ฉบับนี้ ศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังเกี่ยวกับโรคงูสวัด ว่าโรคนี้เป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับ “สุกใส” ซึ่งเมื่อเป็นตอนเด็กๆ เชื้อจะหลบอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิต พออายุมากขึ้น ภูมิต้านทานที่มีต่อเชื้อตัวนี้ลดลง เชื้อก็จะออกมาสักครั้งหนึ่ง  ด้วยความที่เชื้อออกมาทางเส้นประสาท อาการสำคัญจึงเป็นอาการปวดแสบปวดร้อนและขึ้นทางขวาก็จะอยู่ข้างขวา หากขึ้นทางซ้าย ผื่นก็อยู่แค่ข้างซ้าย

โรคงูสวัดและสุกใส เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน ที่ชื่อ “เชื้อวีแซดวี (varicella-zoster virus)” ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรก (ซึ่งมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ส่วนใหญ่จะแสดงอาการของโรคสุกใส หลังจากหายจากโรคสุกใสไปแล้ว เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทในร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสุกใสลดลง เชื้อที่แฝงตัวอยู่นี้จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและกระจายออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่น เป็นตุ่มน้ำ ขึ้นเป็นกระจุกและมีปลายประสาทอักเสบ

ก่อนมีผื่นขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหน่วงๆ ปวดแปล๊บๆ คัน หรือเจ็บ ด้านหนึ่งด้านใดของร่างกาย  บริเวณเส้นประสาทที่กำลังจะเป็น ต่อมาเมื่อเชื้อออกมาถึงผิวหนัง จะมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ปวดเป็นตุ่มใสเป็นกระจุก ตามแนวผิวหนังที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทที่เชื้อออกมาเมื่อตุ่มน้ำแห้ง และตกสะเก็ด หลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาลง

ส่วนผู้สูงอายุ อาจปวดนานหลายเดือนกว่าจะหาย โรคนี้มักไม่มีอันตรายร้ายแรงและหายได้เองเป็นส่วนใหญ่  แต่บางรายหลังแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดประสาทนานเป็นแรมปี หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ และจากความเชื่อที่ว่า เป็นรอบเอวแล้วตายนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เสียชีวิตอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค

ส่วนการรักษา  แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการปวดหรือไข้ ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองเฟะเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น แพทย์จะให้กินยาต้านไวรัส ภายใน 48-72 ชั่วโมง หลังเกิดอาการ จึงจะได้ผล รวมทั้งอาจลดอาการปวดเส้นประสาทแทรกซ้อนในภายหลังได้

ส่วนผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ที่สำคัญคือผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตาหน้าผาก หรือปลายจมูกควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ซึ่งจะให้กินยาต้านไวรัสและยาหยอดตาที่มียาต้านไวรัส เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ อาการปวดประสาทหลังเป็น โดยเฉลี่ยพบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยงูสวัด ยิ่งอายุมาก ยิ่งเป็นรุนแรงและนาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันงูสวัดได้แล้ว

Thailand Web Stat