posttoday

ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์ ปรุงธุรกิจครอบครัว สู่มืออาชีพ

11 สิงหาคม 2559

วันนี้มีนัดสัมภาษณ์คนหนุ่มรุ่นใหม่วัย 37 ปี ทายาทรุ่นที่สองของเครือสยาม เจมส์ กรุ๊ป ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์

โดย... อนุสรา ทองอุไร ภาพ... กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

วันนี้มีนัดสัมภาษณ์คนหนุ่มรุ่นใหม่วัย 37 ปี ทายาทรุ่นที่สองของเครือสยาม เจมส์ กรุ๊ป ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์ รองประธานบริหาร สยาม เจมส์ กรุ๊ป ซึ่งมีธุรกิจในเครือคือโรงแรมรามาการ์เด้นส์ สยามเจมส์เฮอริเทจ สวนงู ร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ในฐานะลูกชายคนเล็กและเป็นลูกชายคนเดียว เขาถูกวางตัวให้ดูธุรกิจใหม่คือจิวเวลรี่และสวนงู

เขาย้อนเล่าถึงธุรกิจของครอบครัวว่า ครอบครัวของเขาถือเป็นยุคแรกๆ ที่ทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว และคุณพ่อของเขามีสายตาที่กว้างไกล ว่าจีนจะต้องยิ่งใหญ่แข็งแรงและร่ำรวยทางเศรษฐกิจ และจีนจะเป็นมหาอำนาจทางการเงินของเอเชียและของโลกในอนาคต ด้วยจำนวนคนที่มากที่สุดในโลกและกำลังซื้อที่ดีขึ้นทุกวัน นับว่าเป็นคู่ค้าทางธุรกิจที่ดี คุณพ่อจึงส่งให้เขาไปเรียนภาษาและวัฒนธรรมที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากที่เขาจบปริญญาตรีทางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพื่อรองรับงานในปัจจุบัน

เขาเล่าว่าตอนไปเรียนที่จีนใหม่ๆ ก็มีการปรับตัวเยอะ ทั้งเรื่องภาษาและวัฒนธรรม แรกๆ ก็เกือบจะคัลเจอร์ช็อก ทุกอย่างแข่งขันรีบเร่ง แต่อยู่ไปสักพักก็เริ่มปรับตัวได้ถึงความแตกต่าง อีกทั้งเขาต้องมองด้วยความเข้าใจว่าจีนมีประชากรหนาแน่น ก่อนเปิดประเทศเขาเป็นคอมมิวนิสต์คนต้องแย่งชิงกัน ทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด เขาลำบากต้องผ่านความกดดันมาเยอะ การใช้ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเราต้องยอมรับว่าสังคมมีความหลากหลาย การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่เดี๋ยวนี้ก็พัฒนาขึ้นเยอะโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง แต่ชานเมืองไกลๆ ก็อาจจะมีวัฒนธรรมเดิมๆ ที่เข้มข้นอยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่คนจีนจะรู้สึกดีกับประเทศไทยและคนไทย เขามองว่าคนไทยใจดีอ่อนโยนยิ้มแย้มแจ่มใส เขาชอบคนไทยและชอบสินค้าไทยกันมาก สินค้าอะไรที่มาจากประเทศไทยคนจีนจะมั่นใจว่าเป็นของดีของมีคุณภาพ

ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์ ปรุงธุรกิจครอบครัว สู่มืออาชีพ

“เราต้องพยายามมองคนจีนด้วยใจที่เปิดกว้าง เขาเองก็ปรับตัวกันเยอะ เขาก็รณรงค์ในประเทศของเขาให้ความรู้ในการวางตัวเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ คนจีนนี่ไปเที่ยวไหนเขาใช้เงินนะ ตั้งใจมาช็อปปิ้ง ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีนะกิน ช็อปเต็มที่ ต้องขอบคุณเขานะครับ” เขากล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจ

กลับมาที่ธุรกิจของเขาตอนนี้บ้าง นอกจากมีโรงแรม ร้านจิวเวลรี่ ร้านสินค้าที่เกี่ยวกับยางพารา ร้านขายของที่ระลึกระดับโอท็อปจากทั่วประเทศแล้ว ร้านเครื่องหนัง และประมาณเดือน ก.ย.นี้ เ­ขาจะเปิดสวนงูและพิพิธภัณฑ์งู ที่ จ.สมุทรปราการ บนเนื้อที่หลายสิบไร่ ซึ่งทำมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ไม่เปิดให้เข้าชมเท่าไหร่นัก

“คือเรามีธุรกิจเกี่ยวกับยาสมุนไพรตำรับยาจีนและมีส่วนผสมที่ผลิตมาจากดีงู ในอดีตตอนเราเด็กๆ จะเห็นเวลามีแสดงรีดพิษงู รีดดีงู เลือดงูมาผสมเหล้า แล้วคนจีนหรือคนไทยก็มีนะครับที่เอามาดื่มสดๆ เพราะเชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลังช่วยให้เลือดลมสูบฉีดดีมีพลัง แต่เราคิดว่าแบบนั้นมันดูฮาร์ดคอร์เกินไป เราก็มีซินแสที่คิดสูตรทำเป็นสมุนไพรผ่านมาตรฐานแพทย์ทางเลือกผลิตออกมาเป็นเม็ดแคปซูลกินง่าย สะอาด สะดวก ปลอดภัย โดยมีตลาดหลักเป็นชาวจีน และผู้ที่สนใจสุขภาพแนวแพทย์ทางเลือก ซึ่งเราทำมานานแล้ว แต่ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าชม” เขาเล่าถึงที่มา

แต่มาถึงรุ่นที่สองอย่างเขาคิดว่า มันน่าจะพัฒนาต่อยอดให้น่าสนใจขึ้นได้อีก ด้วยการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงธรรมชาติ มีพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าประวัติศาสตร์ว่างูมีกำเนิดจากที่ไหนอย่างไร มีงูแปลกๆ จากทั่วโลกหลายสายพันธ์ุ รวมทั้งงูยักษ์จากลุ่มน้ำอเมซอนอย่างอนาคอนดา ก็มีมาให้ชม เรียกได้ว่าครบวงจรที่สุดในตอนนี้

ธนายุทธ บอกว่า เทรนด์ของเรื่องสุขภาพกำลังมาแรงใครๆ ก็อยากมีสุขภาพดีไม่อยากเจ็บป่วย ไม่อยากใช้อะไรที่เป็นสารเคมีเยอะๆ การมารักษาสุขภาพด้วยแพทย์ทางเลือกในแบบภูมิปัญญาโบราณในแถบเอเชีย อย่างแพทย์แผนจีน หรืออายุรเวทแบบอินเดีย กำลังได้รับความสนใจ

ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์ ปรุงธุรกิจครอบครัว สู่มืออาชีพ

 

ส่วนธุรกิจจิวเวลรี่อย่างสยามเจมส์ ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มแรกของครอบครัวของเขานั้น เน้นขายในประเทศ โดยมีตลาดหลักเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งการออกแบบที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของร้านสยามเจมส์ในระยะ 2-3 ปีมานี้ก็คือ การออกแบบด้วยพลอยต่างๆ ทั้งพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็ง มีความอ่อนช้อยสวยงามแบบไทยๆ แต่พัฒนาแบบให้ทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าหลักของร้านคือชาวเอเชีย ซึ่งจะชอบทองคำ ทองคำขาว และพิ้งก์โกลด์กันมาก

สำหรับหลักการบริหารของเขานั้น เขาคิดว่าการทำงานเป็นทีมนั้นสำคัญมาก ไม่ใช่วันแมนโชว์อยู่คนเดียว ทีมเวิร์กเป็นเรื่องจำเป็น ต้องทำทีมให้แข็งแรงมั่นคง ไม่มีใครเก่งหรือรู้ทุกเรื่อง และในฐานะผู้นำต้องฟังให้เยอะๆ ฟังลูกน้อง ฟังทีมงาน ฟังลูกค้า ฟังพันธมิตรคู่ค้าทางธุรกิจ และอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ โลกยุคนี้เปลี่ยนไปเร็วมาก มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเสมอ ถ้าหยุดเรียนรู้คนอื่นวิ่งแซงหน้าทันที ที่สำคัญควรจะรู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่ทำ และสิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับการเป็นผู้นำที่ดีก็คือความซื่อสัตย์ในวิชาชีพ ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องรักษาดูแลยิ่งกว่าเงินทอง

“คุณพ่อท่านสอนผมเสมอว่าเงินทองหมด ยังหาใหม่ได้ แต่ชื่อเสียงนี่ถ้าเสียหายไปแล้วกู้คืนมายากกว่ามาก ดังนั้นจงรักษาไว้ให้ดี ผมจำขึ้นใจเลยเรื่องนี้ ท่านเป็นพ่อแบบที่ดีทำงานหนักทุ่มเทเพื่อครอบครัวและบริษัท” เขากล่าวอย่างตั้งใจ

แน่นอนว่าการทำงานนั้นมักจะต้องเจออุปสรรคปัญหาบ้างเป็นบางที แล้วเขาเชียร์อัพตัวเองอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนั้นไปได้ ก็คือการพยายามมองโลกในแง่ดีว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละเรื่องตามลำดับความสำคัญ หรือเอาหลักศาสนามาเป็นเครื่องมือช่วยด้วยการสวดมนต์นั่งสมาธิเพราะเขาเคยบวชที่วัดบวรนิเวศฯ มาเป็นเวลา 1 เดือน และรู้ว่าสมาธินั้นเป็นยาชั้นดี ที่ทำให้ได้สติได้คิดทบทวน ถือว่าการสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นวัคซีนใจที่ดี

อนาคตอันใกล้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ คือพยายามขยายธุรกิจต่อยอดในสิ่งที่มีอยู่ให้แข็งแรงมั่นคงขึ้น ปรับปรุงระบบโครงสร้างของบริษัทให้เป็นระบบมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น