กำแพงเมืองจีน ความจำเป็นเอาใจทุกคนไม่ได้
ความรู้สึกของชาวจีนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วที่มีกับกำแพงเมืองจีนต่างกับความรู้สึกของชาวจีนและชาวโลกในปัจจุบันอยู่ลิบลับ
โดย..นิธิพันธ์ วิประวิทย์
ความรู้สึกของชาวจีนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วที่มีกับกำแพงเมืองจีนต่างกับความรู้สึกของชาวจีนและชาวโลกในปัจจุบันอยู่ลิบลับ
ชาวจีนสมัยนี้ผูกติดกำแพงเมืองจีนไว้กับความยิ่งใหญ่ของชาติ เป็นความภาคภูมิใจในสติปัญญาและพลังแห่งแรงงานบรรพบุรุษที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ กำแพงเมืองจีนคือเลือดเนื้อบรรพบุรุษที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่านอกด่านทางตอนเหนือของจีน มันยืนหยัดปกป้องชาวจีนมานานแสนนาน
เพลงชาติจีนท่อนที่สอง ร้องว่า “...ให้เลือดเนื้อของพวกเราก่อตัวขึ้นมาเป็นกำแพงหมื่นลี้แห่งใหม่...” กำแพงหมื่นลี้ คือชื่อที่ชาวจีนใช้เรียกกำแพงเมืองจีน และมันยาวเป็นหมื่นลี้ (กว่า 5,000 กม.) จริงๆ ไม่ได้โม้
มีการสำรวจทางอินเทอร์เน็ต ว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก สิ่งใดมหัศจรรย์ที่สุด ผลก็คือกำแพงเมืองจีนได้คะแนนคลิกอันดับหนึ่ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะประชากรชาวเน็ตของจีนที่มีเยอะที่สุดในโลกแล้วในตอนนี้ช่วยกันคลิก
แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นหลักฐานว่าในยุคนี้กำแพงเมืองจีนได้เป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจในชาติจีนเรียบร้อยแล้ว
ผิดกับในอดีต เช่น ที่มีตำนานพื้นบ้านโบราณที่ยังเล่าขานต่อมาจนถึงทุกวันนี้
นิทานเรื่อง “เมิ่งเจียงหนี่” ที่ว่าด้วยหญิงสาวชื่อเมิ่งเจียงหนี่ มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่จิ๋นซีฮ่องเต้มีบัญชาให้สร้างกำแพงเมืองจีน สามีของนางถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีนตั้งแต่นางแต่งงานได้วันแรก ไปได้ไม่นานสามีนางทนความโหดร้ายเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว ตายอยู่ใต้ซากกำแพง เมิ่งเจียงหนี่รอคอยข่าวสามีตัวเองอยู่นาน พอรู้ว่าสามีตนเองตายไปร้องไห้จนฟ้าสะเทือนกำแพงแถบหนึ่งพังทลายลงมา แล้วจึงได้เห็นกระดูกของสามีตนอยู่ใต้ซากกำแพงนั้น แล้วนางก็ฆ่าตัวตายตามสามีไป
ทุกท่านที่เคยไปเที่ยวหรือได้ยินได้ฟังเรื่องของกำแพงเมืองจีน คงเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว ซึ่งมีหลายเวอร์ชั่นต่างกันไปในรายละเอียด
แน่นอนว่า ใจความที่คงที่ คือ การซ่อมสร้างกำแพงเมืองจีนเท่ากับการกดขี่ชาวบ้าน จิ๋นซีฮ่องเต้ที่สั่งสร้างกำแพงเมืองจีนเท่ากับทรราชที่โหดร้าย
อันที่จริงนิทานเรื่องเมิ่งเจียงหนี่ ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เกิดขึ้นหลังจากนั้นและแต่งเติมกันเรื่อยมา ที่ยิ่งเล่ายิ่งดราม่าเพราะประชาชนต้องการยืมเมิ่งเจียงหนี่มาเล่าความทุกข์ทรมานของตัว และใช้คำก่นด่าจิ๋นซีฮ่องเต้กระทบฮ่องเต้ทั้งหลาย
เพราะฮ่องเต้หลายราชวงศ์ต่อๆ มา ก็สั่งซ่อมสร้างกำแพงเมืองจีนกันทั้งนั้น ปวงประชาจึงยังต้องการเรื่องเล่านี้เป็นเครื่องมืออยู่ตลอด จิ๋นซีฮ่องเต้ก็แค่รับความผิดนี้ไปเต็มๆ เพราะเป็นผู้ริเริ่มและเร่งโปรเจกต์นี้เกินไป
จิ๋นซีฮ่องเต้เกณฑ์ผู้คนกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนประชากร 1 ใน 20 ของประชากรจีนยุคนั้น มาเร่งซ่อมสร้างกำแพงให้เสร็จภายในระยะเวลาแค่ 10 ปี โหดเกินประชาชนรับไหว
จิ๋นซีฮ่องเต้เลยถูกผูกขาดไว้กับกำแพงเมืองจีน ใครๆ พูดถึงกำแพงเมืองจีนก็บอกว่าจิ๋นซีสร้าง ทั้งๆ ที่ฮ่องเต้อีกหลายองค์หลายราชวงศ์ก็สั่งซ่อมสร้างเหมือนกัน
และที่ฮ่องเต้องค์ต่อๆ มาต้องสร้างก็ย่อมไม่ใช่เพราะอยากได้ชื่อเสียง แต่เพราะมันจำเป็น
กำแพงเมืองจีนป้องกันชาวจีนจากชนเผ่านอกด่านซึ่งได้เปรียบทางฝีมือและลักษณะการเข้าปล้นชิงที่รวดเร็วว่องไวไร้กระบวนดั่งกองโจร เข้ามาแค่หลักร้อยอาจฆ่าฟันชาวจีนได้นับพันนับหมื่น ทหารจีนจะไล่ต้อนไปก็ไม่ทัน และไม่จนมุม จะทำทั้งทีก็ลงทุนมากแต่ปราบไม่หมด
กำแพงหมื่นลี้นี้เท่านั้นที่พอบรรเทาปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
ชื่อ “กำแพงหมื่นลี้” ที่ฟังแล้วแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ก็เพิ่งเรียกกันไม่นานนัก สมัยโบราณชาวจีนเรียกกำแพงนี้ว่า “กำแพงยาว” บ้าง “กำแพงชายแดน” บ้าง ไม่แฝงความภูมิใจใดๆ ไว้
และแม้แต่ในมุมของฮ่องเต้เองก็ใช่จะภูมิอกภูมิใจกับกำแพงยักษ์นี้ ในสมัยราชวงศ์ชิง ครั้งหนึ่งขุนนางแจ้งเฉียนหลงฮ่องเต้ว่าน่าจะมีการซ่อมแซมกำแพงเมืองจีน เฉียนหลงฮ่องเต้กลับบอกว่า ราชวงศ์ที่แล้วซ่อมกำแพงเมืองจีนซะแข็งแกร่ง ราชวงศ์ชิงเราก็ยังตีเข้ามาได้ ภัยของแผ่นดินจะมีก็อยู่ที่ปัญหาของปวงประชาภายใน ให้ซ่อมแซมกำแพงเมืองจีนก็เท่ากับขูดรีดแรงงานทำร้ายประชาชน ไม่ต้องซ่อม!
เหมือนจะได้ใจไปเต็มๆ
แต่เป็นเฉียนหลงฮ่องเต้ก็พูดได้ เพราะราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นชนเผ่านอกด่านมีอิทธิพลและความสัมพันธ์อันดีกับชนเผ่านอกด่านด้วยกัน ต่างกับราชวงศ์ที่แล้วซึ่งก็คือราชวงศ์หมิงที่มีเรื่องทำสงครามขับไล่มองโกลไปหมาดๆ จะไม่ซ่อมไม่สร้างกำแพงเมืองจีนให้เข้มแข็งได้ยังไง ประโยคของเฉียนหลงฮ่องเต้ จึงเจือด้วยการเอาดีใส่ตัวไปหน่อย
ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงก็คงอยากพูดอะไรเท่ๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่สถานการณ์มันเป็นไปไม่ได้
หลายคนบอกว่า สุดท้ายกำแพงเมืองจีนไม่เห็นช่วยอะไรจีนได้ หลายราชวงศ์ที่มีกำแพงเมืองจีนคุ้มกัน ก็ล่มสลายอยู่ดีด้วยภัยจากภายในแผ่นดินเอง
ประโยคนี้เองกลับพลิกให้เห็นว่ากำแพงเมืองจีนนี่แหละที่ใช่ เพราะพูดอีกแบบก็คือ ตราบใดที่ภายในไม่ล่มสลาย กำแพงเมืองจีนก็ทำหน้าที่ได้ดีอยู่เสมอ
แต่ไม่ว่าจะพูดให้สวยงามเลิศหรูหรือด่าให้เละเทะอย่างใด ประวัติศาสตร์จริงก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่ากำแพงเมืองจีนคือความทุกข์ยาก ขณะเดียวกันก็คือความจำเป็น
ถ้าย้ายประชาชนชาวเน็ตในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่การประชดประณามก่นด่าง่ายแค่กระดิกนิ้วไปรับเคราะห์แทนบรรพบุรุษคงจะมีแต่คำต่อว่าคำวิจารณ์ความไม่สร้างสรรค์ของโครงการนี้กันทั้งแผ่นดิน
อาจจะมีคนเหม่อมองแล้วบ่นเท่ๆ ว่า เจ้ากำแพงยักษ์ที่แท้มันก็คือสิ่งก่อสร้างที่กลืนกินชีวิตผู้คน และมันคือความโหดร้ายของคนที่คิดสร้างมันขึ้นมา ถ้าให้เลือกได้อย่ามีกำแพงเมืองจีนนี้เลยดีกว่า
ที่บ่นเท่ๆ นี้ก็ถูกอยู่บ้าง แต่ถูกแบบอ่อนหัดในโลกของความเป็นจริง
เพราะประวัติศาสตร์แต่ละยุคย่อมมีความจำเป็นของแต่ละยุคเอง จะปกป้องประเทศได้ด้วยจะไม่ลำบากปวงประชาด้วย ในยุคนั้นมันไม่มีทางเลือก
คนที่คอยบ่นคอยว่าแบบนี้ จึงแค่ดูเหมือนดูดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และดูฉลาด แต่มองสถานการณ์แบบเอาแต่ได้ เป็นจุดยืนที่เอาความสุขสงบไม่ต้องเตรียมตัวไม่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ความเห็นแบบนี้มักมีโผล่ให้เห็นในทุกปัญหาที่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือเตรียมตัวป้องกัน ซึ่งก็เข้าใจได้แค่ว่าเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจของคนที่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าจะทำตามเพื่อเอาใจคนทุกคน จิ๋นซีฮ่องเต้คงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไปแล้วว่า ล่มสลายลงเพราะจัดการปัญหาชนเผ่านอกด่านไม่เป็น