สน-ยุกต์ ส่งไพศาล พระเอกท่อนไม้ ผู้กล้าเผชิญความจริง
จัดเป็นพระเอกรูปงามและบทบาทที่ได้รับในละครแต่ละเรื่องก็ไม่ธรรมดา ล้วนเป็นละครฟอร์มดี ชื่อของ สน-ยุกต์ ส่งไพศาล
โดย...มัลลิกา นามสง่า
จัดเป็นพระเอกรูปงามและบทบาทที่ได้รับในละครแต่ละเรื่องก็ไม่ธรรมดา ล้วนเป็นละครฟอร์มดี ชื่อของ สน-ยุกต์ ส่งไพศาล แม้ไม่ดังเป็นกระแสวูบวาบแบบพระเอกหลายคน แต่ก็ดังเรื่อยๆ ไม่มีแผ่ว 9 ปีที่อยู่ในวงการบันเทิงได้รับเสียงวิจารณ์ต่อการแสดงละครอยู่แทบทุกเรื่อง ขนาดมีการจัดโผ สนยังเป็นหนึ่งในพระเอกท่อนไม้ แต่นั่นหาเป็นอุปสรรคขวางเส้นทางการเป็นพระเอกของสนไม่ ยิ่งว่ายิ่งฮึด
คำวิจารณ์คือกระจกสะท้อน
พระเอกนางเอกหลายคนที่ยังอ่อนหัดด้านการแสดงและขาดโอกาสที่จะได้ไปต่อ บ้างก็ถูกลดบทบาทจากพระเอกเป็นพระรอง ซ้ำร้ายหายหน้าจากจอไปเสียก็มี แต่สำหรับสนเสียงวิจารณ์ต่อการแสดงเป็นลบกลับเป็นพลังบวกให้เขาพัฒนา ไม่นำเอาคำวิจารณ์มาบั่นทอนกำลังใจ
“ผมว่าตัวเองพัฒนาขึ้นเยอะมากจากละครเรื่องแรกที่เล่น ผมก็รู้ตัวเองนะว่าเล่นละครไม่ดี มีเสียงวิจารณ์เยอะ อย่างเรื่อง แก้วล้อมเพชร นี่โดนหนักมาก คนดูบอกว่าแสดงเป็นเพชรหรือเปล่าเล่นแข็งมาก (หัวเราะ) ซึ่งยอมรับเลยว่าตอนเข้าวงการใหม่ๆ ผมไม่ได้อยากทำ คิดว่าเข้ามาลองแป๊บเดียวก็พอ เดี๋ยวก็คงเบื่อไปเอง ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการเป็นนักแสดงคืออะไร ซึ่งจริงๆ มันคิดแบบนั้นไม่ได้ไง มาคิดย้อนหลังก็แอบเสียใจที่เราทำผลงานศิลปะไม่ดีออกมาให้คนดู เราควรตั้งใจกับการแสดงให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส จากที่เฉยๆ กับการเป็นนักแสดง ก็เริ่มคิดใหม่แล้วว่าเราจะไปแสดงอะไรโง่ๆ แบบนั้นไม่ได้อีกแล้วนะ ถึงผมจะไม่ได้เกิดมาแล้ว Born to be เป็นนักแสดงที่เก่งมาเลย แต่ผมก็ตั้งใจพัฒนาและฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้นเพื่อให้ผลงานออกมาดี
เวลามีคนวิจารณ์ หรือด่าไม่โกรธครับ (ยิ้มอ่อน) สิ่งที่คนดูวิจารณ์เหมือนเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำออกมาเป็นยังไง มันทำให้ผมผลักดันตัวเองมากกว่า ว่าจะทำยังไงให้ผลงานเราดีขึ้น ถ้ารู้สึกว่าตัวเองยังแสดงไม่ดีพอ ผมไม่ยอมปล่อยไปเลยแม้แต่ซีนเดียว จะขอผู้กำกับเล่นใหม่ให้งานออกมาดีที่สุด อันนี้เป็นความคิดที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สำหรับผมคำว่าขอไปทีจะไม่มี ถ้าแบบนั้นไม่ทำดีกว่าครับ ไม่อยากให้ผลงานที่เรารู้สึกไม่เต็มที่ออกไปหลอกคนดู ส่วนเรื่องลบคำสบประมาท ผมมองว่ามันเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา เมื่อเราทำหน้าที่ของเราให้ดีและเต็มที่ออกไปแล้ว คนแรกที่จะรู้สึกภูมิใจเลยก็คือตัวเราเอง”
สิ่งที่สนทำ ผู้กำกับ ผู้จัดละครต่างมองเห็นในความตั้งใจทำจริง นี่จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมสนถึงยังได้รับบทพระเอกและยังครองใจผู้ชม “ก็มีคนชมว่าเล่นดีขึ้นนะ ไม่ค่อยด่าแล้วครับ เริ่มมีชมบ้างแล้ว (หัวเราะ) แต่ที่ดีใจอีกอย่างคือมีผู้จัดต่างค่ายเข้ามาติดต่ออยากร่วมงานกับผม ซึ่งตรงนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยเราเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ มีความสามารถที่ผู้จัดหลายๆ ท่านมองเห็นคนหนึ่งแล้วล่ะ”
ในสัปดาห์หน้า (15 ก.ย.) ละครเรื่องใหม่ของสน ดวงใจพิสุทธิ์ จะออกอากาศเป็นตอนแรกทางช่อง 3 เอชดี ของค่ายโซนิกซ์ บูม “เรื่องนี้พี่ชุดาภา จันทเขตต์ กับพี่ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล เป็นผู้จัด และพี่โอ๊ต-วรวุฒิ นิยมทรัพย์ เป็นผู้กำกับ ผมแสดงเป็นหัฎฐ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่คาแรกเตอร์จะออกขรึมๆ หน่อย ต้องเลี้ยงหลานอายุ 7 ขวบ แสดงคู่กับแยม-มทิรา ตันติประสุตซึ่งเคยเจอกันมาแล้วตอนเล่นแค้นเสน่หา พอมาแสดงด้วยกันก็ราบรื่นดีครับ สนิทกันแบบพี่น้องอยู่แล้ว ส่วนอีกเรื่องที่กำลังถ่ายอยู่ก็คือ แต่ปางก่อน เล่นคู่กับวิว-วรรณรท สนธิไชย”
ดูเรียบง่ายแต่สุดโต่ง
นานๆ จะมีข่าวคาวออกมาที แต่ไม่มีก็ย่อมดีกว่า ส่วนข่าวเรื่องคนรักก็ไม่หวือหวามีมาพอเป็นกระษัย “ชีวิตผมวันๆ จะได้ไปเจอใคร มาแต่กองถ่าย เลิกกองก็กลับบ้าน ถ้าว่างก็อยู่บ้าน เล่นเกม เข้าฟิตเนส เลยไม่มีเวลาจะไปมองหาใครด้วยมั้งครับ”
หรืออาจเป็นเพราะตั้งสเปกไว้สูงเกินไป ซึ่งเจ้าตัวหัวเราะก่อนยอมรับว่า “มีสเปกเยอะอยู่เหมือนกัน คือต้องหุ่นดีหน่อย หน้าตาโอเค เด็กกว่าสัก 5-7 ปีจะดีมาก มีไลฟ์สไตล์ที่คล้ายๆ กัน แต่เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวพอถึงเวลาที่จะเจอคนที่ใช่ผมว่าก็ใช่เองแหละ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เคยคิดเล่นๆ แค่ว่าอายุสัก 35 เกือบ 40 ปี ค่อยแต่งงานแล้วกัน (ยิ้มเขิน)”
ทุกวันนี้คนมักเป็นที่รู้จักจากข่าว นักแสดงบางคนถึงกับต้องทำตัวเองให้เป็นเรื่องเพื่อเกิดข่าวจะได้มีกระแส เพื่อเรียกงาน แต่สำหรับสนการใช้ชีวิตเต็มที่กับงานในกองถ่ายและเต็มที่กับกิจกรรมที่ตัวเองชอบแค่นี้ก็แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว
“ถ้าเป็นด้านการเข้าสังคม ผมไม่ค่อยชอบไปปาร์ตี้ โฉบไปตามที่ต่างๆ บ่อยมากนัก ถ้าไปกินข้าวกับเพื่อนก็ไปร้านของตัวเอง หรือเวลามีดีเจที่ผมชอบมาเปิดคอนเสิร์ตผมก็ไปดู แต่ถ้าเป็นชีวิตประจำวันในช่วงถ่ายละครก็มีแค่ไปกองถ่าย ไปงานอีเวนต์ เสร็จก็กลับบ้านนอน เช้าขึ้นมาก็ทำแบบเดิม ไม่มีเวลาไปหวือหวาที่ไหนได้ อย่างมากถ้าว่างยาวๆ ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ เที่ยวต่างจังหวัด ชาร์จแบตให้ตัวเองแล้วกลับมาทำงานต่อ วนๆ ไปแบบนี้มั้งครับ คนเลยอาจมองว่าผมเป็นพระเอกนิ่งๆ
จริงๆ ผมเป็นคนสุดโต่งมากนะ เพียงแต่คนไม่รู้กันเอง คือเป็นคนทำอะไรต้องไปให้สุดอ่ะ เอาให้รู้จริง เจ็บจริง ไม่ชอบทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ แบบแค่นี้พอแล้ว เก่งแค่นี้พอแล้ว นั่นไม่ใช่ผม ผมจะไม่ใช่คนยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ด้วย แต่ไม่ได้ไปแข่งกับใครนะครับ ขอสู้กับตัวเองก็พอ และสิ่งที่ทำต้องเป็นเรื่องที่เราชอบด้วยนะ แต่ถ้าลองทำแล้วไม่ชอบก็โอเคหยุด ไม่ไปต่อ ถ้าชอบก็ทำไปให้สุด ให้รู้จริง ดูเหมือนเป็นคนไม่รู้จักพอเท่าไหร่เนอะ (หัวเราะ) ผมชอบไปที่แปลกใหม่ ไปยากๆ อยากไปลุยแบบไม่กลัวลำบาก
ล่าสุด แป้งโกะชวนไปเที่ยวเนปาลกับก๊วนเพื่อนๆ ผมก็อยากไปแต่ติดถ่ายละครเลยอด ผมชอบอะไรที่แอดเวนเจอร์ ชอบเล่นกีฬาโลดโผน ชอบเสี่ยงตาย ชอบกีฬาเอ็กซ์สตรีม อย่างกระโดดเครื่องบิน กระโดดร่ม หรือกระโดดบันจี้จัมพ์ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองเลยครับ อย่างมากแค่เล่นสโนว์บอร์ดบนภูเขาแบบธรรมดา นั่นคือเอ็กซ์สตรีมสุดแล้ว (หัวเราะ) แต่การเล่นกีฬาแบบนี้มันต้องมีความปลอดภัยด้วยนะ คือ ถ้ามันเกินลิมิตความปลอดภัยที่ผมตั้งไว้ ผมก็ไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพราะเรายังต้องใช้ร่างกายทำมาหากิน ต้องอยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ ก็ต้องลุยแบบพอดีๆ ครับ แบบเจ็บจริงได้แต่ไม่ต้องถึงกับสาหัส”
นอกจากมีผลงานละครที่ไทยแล้ว สนยังมีโอกาสที่จะได้ทำงานที่ประเทศจีน เพราะตอนนี้มีแฟนคลับชาวจีนจำนวนมากที่รอดูผลงาน “ตอนนี้มีเอเยนซีที่ดูงานให้ แต่ยังไม่มีการเซ็นสัญญาอะไรครับ มีแค่ดูๆ ไว้ว่าอาจมีงานละครหรืองานหนัง ก็ต้องดูความเหมาะสมไป ตัวผมเองเท่าที่รู้ก็พอมีแฟนคลับชาวจีนบ้าง เขาก็อยากเจอเรานะ เราก็อยากไปหา แต่ก็ต้องดูงานว่าอันไหนเราทำได้บ้าง ช่วงนี้ถ้ามีเวลาก็ฝึกภาษารอครับ แต่ภาษาจีนค่อนข้างยาก คงต้องใช้เวลา แต่ถ้าเอาแค่ทักทาย สวัสดี ขอบคุณก็พอจะพูดได้บ้างอยู่แล้ว คือ ถ้ามีโอกาสได้ไปทำงานที่จีนจริงๆ ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับตัวผมด้วย”
จากเสียงด่าที่ว่าเล่นเป็นเพชร เล่นแข็งเป็นท่อนไม้ เริ่มมีเสียงชื่นชมเข้ามา เป็นสิ่งที่ทำให้สนมีกำลังใจมองไปสู่จุดหมายในวงการบันเทิงชัดเจนขึ้น
“เป้าหมายของผมต้องบอกเลยว่าไม่ใช่รางวัลอะไรเลยนะครับ แค่คือการที่ผมได้พัฒนาทักษะการแสดงของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ จากเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ที่เรายังเดินไม่เป็น มาวันนี้เราเริ่มก้าวเดินได้แข็งแรงขึ้น เริ่มรู้จุดมุ่งหมายของการเป็นนักแสดงว่าเราทำเพราะเรารัก ทำเพราะเป็นงานที่ให้ความสุขกับคนอื่นได้ แค่นี้ผมก็รู้สึกมีความสุขกับคำว่า นักแสดงแล้วครับ จริงๆ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดารานะ ผมอยากใช้คำว่านักแสดง อันนี้ไม่ได้พูดให้ดูสวยหรู แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
คำว่าดาราเหมือนเป็นสิ่งที่คนมาเรียกเฉยๆ ดูเป็นสตาร์ มีคนรู้จักเยอะแค่นั้น แต่สำหรับตัวผมคือนักแสดงที่ทำงานศิลปะ มาสร้างผลงานที่มีคุณภาพออกมาให้ผู้ชม จริงอยู่ว่าสมัยเข้าวงการแรกๆ ผมอาจไม่ได้คิดลึกซึ้งขนาดนี้ แต่พอเราเข้าใจหน้าที่ เริ่มรู้สึกรักการเป็นนักแสดง ผมก็ตั้งใจที่จะเป็นนักแสดงคุณภาพที่ไม่ลืมตัวเอง ซึ่งความคิดนี้หม่อมน้อย (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ท่านเคยสอนผม หม่อมน้อยจะบอกตลอดว่าการที่เรามายืนตรงนี้ได้ เพราะมีคนคอยสนับสนุนเราอยู่ข้างหลัง วันไหนที่เรามีชื่อเสียงแล้วเราต้องไม่ลืมพวกเขา ที่สำคัญเราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใครมาจากไหน สิ่งนี้จะอยู่ในใจผมมาตลอด”
แม้วงการบันเทิงจะมีนักแสดงหน้าใหม่ทยอยเข้ามา แต่ถ้านักแสดงยังมีคุณภาพทั้งฝีมือทางการแสดง และนิสัยใจคอ พื้นที่นั้นก็ไม่มีใครมาแย่งชิงไปได้ง่ายๆ