ไอยรินท์ ศรีชาติ แข็งแกร่งจากภายใน
หากเอ่ยชื่อ ไอยรินท์ ศรีชาติ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่สำหรับแฟนเพลงในยุคหนึ่งต้องร้องอ๋อ! ทันที
โดย...กองทรัพย์ ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
หากเอ่ยชื่อ ไอยรินท์ ศรีชาติ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่สำหรับแฟนเพลงในยุคหนึ่งต้องร้องอ๋อ! ทันที เมื่อบอกว่า ไอยรินท์คนนี้ก็คือนักร้องสาวอดีตนักร้องนำวงลำดวน หรือ โอ๋ ลำดวน เจ้าของเพลงดังเคยรักเธอหรือเปล่า และเป็นเจ้าของเสียงหวานๆ ในผลงานเพลงอีกหลายเพลง
เธอปรากฏตัวในหน้าสื่ออีกครั้งเมื่อคว้าชัยชนะในการแข่งขันผลักมือหรือทุยโส่ว เป็นการแข่งขันจำลองการต่อสู้ของวิชามวยไทจี๋เฉวียน หรือ ”ไทเก๊ก” โดยชนะเลิศ 2 เหรียญทอง ในการแข่งขัน US Open Martial Arts 2016 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อกลางเดือน ต.ค. ซึ่งล่าสุดวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา เธอก็สามารถคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันระดับโลกครั้งที่ 6 (The 6th World Cup Tai Chi Chuan Championship) เป็นการแข่งขันไทเก๊กโดยตรง รวมนักไทเก๊กจากทั่วโลก ซึ่งการแข่งจะมีทั้งรำมวยของตระกูลต่างๆ ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งในวันประวัติศาสตร์นั้นเธออัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชลงไปภายในสนามแข่งขันด้วย
“เหรียญนี้เพื่อพ่อ…ท่ามกลางความสูญเสีย แต่ภารกิจที่ต้องแข่งขันยังต้องดำเนินต่อ ครั้งนี้มาแข่งผลักมือชิงแชมป์โลกที่ไทเป เลยไม่ได้ไปร่วมจารึกประวัติศาสตร์ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่สนามหลวง สิ่งที่มุ่งมั่นทำให้ได้คือต้องสู้เพื่อคว้าเหรียญมาให้ได้ คงเป็นเพราะพระบารมีของท่านที่ทำให้โอ๋คว้ามาจนได้ 1 เหรียญ ในศึกที่ต้องแข่งกับแชมป์โลก มาแข่งขันคราวนี้ โอ๋มาพร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ของพ่อหลวง ดีใจที่ได้บอกชาวโลกให้รู้ว่า This is my King.”
อดีตนักร้องสาวบอกว่า ยังร้องเพลงอยู่ตามงานอีเวนต์ต่างๆ และมีงานร้องเพลงตามโรงแรมชั้นนำอยู่เสมอ โดยมีธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ด้วย แต่กิจวัตรตลอด 8 ปีของสาวคนนี้ก็คือการฝึกไทเก๊ก จากผู้เรียนจนปัจจุบันเธอเริ่มสอนไทเก๊กและศิลปะป้องกันตัวระยะประชิดด้วยมือเปล่า โอ๋เล่าถึงการค้นพบตัวตนและความแข็งแกร่งบนเส้นทางไทเก๊กว่า
“โอ๋เป็นคนชอบเล่นกีฬาต่อสู้เกือบทุกชนิด เพราะตอนเด็กๆ เราเรียนไทยยุทธ์ เรียนเตะต่อยเพื่อป้องกันตัว พอทำงานเป็นนักร้องก็ไปเรียนไอคิโด้ เรียนจนได้สายดำ แต่แล้ววันหนึ่งโอ๋ก็ค้นพบว่าการต่อสู้โดยไม่สู้ การชนะด้วยการยอมแพ้อย่างไทเก๊ก คือสิ่งที่โอ๋ตามหามาทั้งชีวิต ตอนนั้นอายุ 32 ปี ได้มารู้จักกับอาจารย์เรืองโรจน์ ไตรสวัสดิ์วงศ์ หรือ ครูเอี๋ยว ซึ่งท่านสอนฟรีอยู่ที่สวนลุมทุกวัน เพราะเราอยากเป็นจอมยุทธ์ตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) ก็เลยแน่วแน่มาก
ครูสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ครูให้ยืนเหมือนท่าอุ้มโอ่งอยู่เป็นชั่วโมงๆ ฝึกหายใจเข้าออกก็ทำแต่ยังไม่เข้าใจ แต่เพราะเราอยากจะทำให้ได้ก็เลยไม่ล่าถอย โอ๋มาสวนลุมทุกวัน มายืนอุ้มโอ่ง จน 3 เดือนผ่านไปครูสอนท่ารำมวยตระกูลหยางให้ เราก็ทำโดยที่ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งเข้าปีที่ 2 โอ๋จึงเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ไทเก๊กเป็น ทำซ้ำๆ ไป 2 ปีผ่านไป 3 ปีผ่านไป และเมื่อ 4 ปี จึงเข้าใจองค์รวมทั้งหมด และในปีที่ 8 นี่เองเพิ่งถ่องแท้ในบางท่า ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ทุกวัน”
หลายคนบอกว่าไทเก๊กเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่สำหรับคนเคยใจร้อนอย่างโอ๋ เธอบอกว่า ไทเก๊กทำให้เธอใจเย็นลง มีสติ กล้ายอมแพ้ และที่สำคัญทำให้เธอแข็งแกร่งจากภายในอย่างแท้จริง “ไทเก๊กหากมองจากภายนอกคนก็จะมองว่านุ่มนิ่ม นิ่มนวล แต่จริงๆ แล้วศาสตร์นี้คือสำลีหุ้มเหล็ก ที่ดูเหมือนอ่อนนุ่มแต่มีความรุนแรงซ่อนอยู่ เป็นวิชาที่ตกทอดกันมาเป็นพันๆ ปี แต่กว่าจะฝึกถึงตรงนั้นได้ก็ยากมาก ซึ่งการผลักมือที่โอ๋ไปแข่งก็คือการประลองกำลังภายในของไทเก๊กหรือไทชิ (ก็เหมือนมวยต้องชกกันเวลาสู้ แต่ไทเก๊กแค่ผลักมือก็จะรู้แล้วว่ากำลังภายในแค่ไหน)
“หลายคนนึกว่าเป็นกีฬาคนแก่ แต่ในไต้หวันและในอเมริกา รวมถึงหลายประเทศในโลกต่างก็เล่นไทเก๊กหรือไทชิตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งหนุ่มสาว โอ๋เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในปีที่ 3 ที่พวกอาการปวดหลัง ปวดท้องประจำเดือน ภูมิแพ้ ที่เคยมีหายไปเด็ดขาด และไม่เคยต้องป่วยแล้วต้องพบหมออีกเลย
สิ่งที่โอ๋พบไม่ได้เกินจริงเลย เนื่องจากกีฬาไทเก๊กเป็นที่รู้จักและยอมรับไปทั่วโลกว่าช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง และทำให้ดูอ่อนกว่าวัยได้จริงๆ ตามประเทศต่างๆ ก็จะมีการฝึกไทเก๊กกันเป็นกิจวัตร สำหรับโอ๋ไทเก๊กคือกีฬามหัศจรรย์ ช่วยเรื่องลมปราณ ทำให้เรารู้จักร่างกายของเราดีขึ้น ตอนนี้กำลังทดสอบกับคุณแม่ด้วยการพาท่านมาฝึกด้วยกันที่สวนลุม เพื่อช่วยเรื่องความดันและเบาหวานที่ท่านเป็น เพราะหลายคนที่ป่วยก็ดีขึ้นจากการฝึกไทเก๊ก”
การร่ำเรียนและฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้ทั้งไทยและเทศ รวมทั้งไทเก๊ก ทำให้นักร้องสาวพบข้อแตกต่างระหว่างกีฬาต่อสู้ต่างๆ และไทเก๊กว่า “การต่อสู้ต่างๆ เป็นการใช้แรงกล้ามเนื้อ ต่อย เตะ ไทยยุทธ์ คาราเต้ เทควันโด รวมทั้งไอคิโด้ เป็นการใช้แรงปะทะ ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครยอมให้เราฝ่ายเดียวง่ายๆ แน่ มันก็ต้องแลกด้วยการเจ็บตัวทั้งคู่ แต่ใครเจ็บมากกว่าคือคนแพ้ แต่วิธีของไทเก๊กไม่ได้สอนให้เราใช้แรงตรงนั้น สอนให้นิ่งสงบเคลื่อนไหว
พูดให้เห็นภาพก็คือเราจะหลบหมัดที่พุ่งมาหาโดยไม่ให้มีการปะทะเราทำได้ไหม เป็นหลักการของคนที่ด้อยกว่าในแง่กำลัง แต่เราจะต่อสู้กับคนที่มีกำลังมากกว่าอย่างไร เราทำตัวให้เป็นเหมือนต้นไม้ คือรากต้องแข็งแรง ทุกวันที่ไปไม่ได้ฝึกให้สู้ แต่ฝึกให้ยอมแพ้ ถ้าใจเราอยากชนะเราไม่มีทางชนะ แต่ถ้าเราปล่อยให้ใจว่างเปล่าเราจะฟังเสียงคู่ต่อสู้ได้ชัดเจน เห็นการเคลื่อนไหว เมื่อชนะตัวเอง มีสมาธิ สติปัญญาก็จะเกิด การตอบสนองของร่างกายก็จะเป็นไปตามสัญชาตญาณ” โอ๋ เล่าในฐานะของคนที่ผ่านกีฬาต่อสู้ แต่ขณะนี้อยู่บนเส้นทางไทเก๊ก
คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจเรียนไทเก๊กเรียนได้ทุกคน แต่คนที่จะทำได้ดีคือคนที่มีความแน่วแน่ อดทน ทุกวันนี้สอนให้เราทำอะไรรวดเร็วแต่จิตใจไม่สงบ ไทเก๊กถ้าใจไม่สงบก็ทำไม่ได้ และคอนเซ็ปต์ของไทเก๊กเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หมด สำหรับโอ๋ช่วยเรื่องการปรับมุมมองชีวิตในทุกๆ ด้าน ทั้งการคิด ทำให้เข้ากับคนได้ดีมากขึ้น ทำงานได้ง่ายขึ้น รู้จักฉลาดในการใช้ชีวิต ไม่ต่างจากการฝึกฝนธรรมะ เพียงแต่การฝึกไทเก๊กเป็นการฝึกสมาธิผ่านท่าทาง
“อาจารย์โอ๋บอกว่ามีสองประเภท คือไม่บ้าก็ป่วย (หัวเราะ) จะต้องทุ่มเทมากหรือไม่มีทางออก ต้องมีวินัยของการฝึก เพราะมันเป็นการเรียนค่อนข้างน่าเบื่อ มันอยู่ที่เราด้วยว่าเราต้องมาแก้นิสัยทุกอย่างเลย เราทำมันได้ไหมล่ะ ถ้าเราตั้งใจและอยากทำได้ก็ทำได้ สำหรับโอ๋ ทุกวันที่เล่นทำให้เจออะไรใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราอยากเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์เราทุกวันที่เล่นร่างกายเราก็ปรับเปลี่ยนทุกวัน บางวันไม่ดีก็มี ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความเครียด ดังนั้นเราต้องอยู่กับตัวเอง สังเกตตัวเอง
เหมือนพระพุทธเจ้าบอกเลยว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าทำแบบนี้ชีวิตเราจะไม่มีการปะทะ เขาด่าเรามาเราไม่รับก็ไม่มีเรื่อง ถ้าเราเบี่ยงไปเราไม่รับก็ไม่เครียด ทำได้ก็ใจเย็นลง มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ด่าเราให้ตายเราไม่ทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ฝึกจิต ฝึกใจ ฝึกความอดทน มันคือสิ่งเดียวกันกับสมาธิ”
ในวันที่ตกผลึกกับไทเก๊ก และวันที่มีโอกาสเป็นตัวแทนคนไทยไปแข่งขันระดับโลกมาแล้ว โอ๋มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น ก็คืออยากให้โลกรู้ว่าไทเก๊กจากคนไทยไม่แพ้ชาติใดเลย แม้ว่าในการแข่งระดับโลกที่ไต้หวันจะคว้าเหรียญทองแดงมา แต่การแพ้ในครั้งนี้ก็สอนอย่างหนึ่งว่าถ้าเราจิตใจยังไม่สงบนิ่ง “เราต้องนิ่งให้พอ รอให้เป็น เราชนะแน่นอน เรามีฝีมือไม่แพ้ใคร มีแข่งที่นิวยอร์ก ไทเป รวมคนจากทั่วโลกมาแข่งระดับโลก เป็นเมืองของปรมาจารย์ อีก 2 ปีเรามีเป้าหมายว่าอยากได้เหรียญทอง และอยากทำโรงเรียนจริงจัง และอยากให้คนไทยมาเรียนไทเก๊กกันเยอะๆ"