มหิทธิกเปรต
ผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นมหิทธิกเปรตนั้น เนื่องจากในชาติที่เป็นมนุษย์ได้บวชเป็นภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา แต่พอบวชแล้วรักษาศีลได้บ้าง ไม่ได้บ้าง....
ผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นมหิทธิกเปรตนั้น เนื่องจากในชาติที่เป็นมนุษย์ได้บวชเป็นภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา แต่พอบวชแล้วรักษาศีลได้บ้าง ไม่ได้บ้าง....
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
ขึ้นชื่อว่าเปรตนั้นมีหลายประเภทแตกต่างกัน โดยจะเกิดไปเป็นเปรตประเภทไหนอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับ “กรรมชั่ว” ที่ได้ทำไว้ในชาติที่เป็นมนุษย์นำพาให้เกิดมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป เปรตบางตนชีวิตเหมือนจะมีความสุขกว่าเปรตหลายๆ ประเภท แต่มิวายก็ไม่พ้นต้องเสวยทุกขเวทนาตามธรรมชาติของเปรตอยู่นั่นเอง อย่างเวมานิกเปรตที่ชีวิตกลางคืนกับกลางวันต่างกันสิ้นเชิง
กลางคืนเวมานิกเปรตจะมีรูปลักษณ์งามดั่งเทวดา วิมานที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้เป็นรองวิมานของเทวดา แต่พอเวลาเปลี่ยนจากกลางคืนไปเป็นกลางวัน ความเป็นไปของชีวิตกลับต้องกลับตาลปัตร ไม่ได้มีรูปลักษณ์และวิมานอย่างเทวดาซะแล้ว
แต่จะเป็นเปรตที่มีรูปร่างที่แสนจะอัปลักษณ์และน่าเกลียด ไม่มีวิมานที่อยู่เหมือนตอนกลางคืน ชีวิตต้องหากินของสกปรกไปเรื่อยๆ นี่แหละความเป็นเปรต ถึงแม้บางประเภทจะมีอะไรดีกว่าเปรตอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีเปรตตนไหนที่จะหนีพ้นทุกขเวทนาอันสาหัสได้
มหิทธิกเปรตก็เหมือนกัน ตามศัพท์แล้วหมายถึงเปรตที่มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ประมาณว่าสามารถเหาะเหินเดินอากาศ ประมาณว่าสามารถที่จะปรากฏตนตรงนั้นตรงนี้ได้โดยที่เปรตตนอื่นไม่สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม การที่เปรตตนนี้มีฤทธิ์มากก็ไม่ได้ช่วยให้เปรตนั้นต้องหลุดพ้นไปจากผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ในชาติที่เป็นมนุษย์แต่อย่างใด เพราะที่สุดแล้วก็ต้องเสวยทุกข์มหันต์ในอัตภาพของเปรตไปจนกว่ากรรมนั้นจะให้ผลจบแล้วนั่นเอง
ว่ากันว่า มหิทธิกเปรตนี้แม้มีตัวตนที่งามเอาการ และมีทรัพย์ มีข้าวน้ำ โภชนาหารไม่ยิ่งหย่อนกว่าของเทวดาเลยนั้น แต่ว่าในความโชคดีนั้นกลับมีความอาภัพตามแบบฉบับของเปรตที่ทุกตนต้องประสบก็คือ การเสวยความทุกข์อันเจ็บปวดรวดร้าวกายและใจอย่างยิ่ง
ก็คือว่า แทนที่แม้จะมีตัวตนที่งามอย่างเทวดา และแม้จะมีข้าวน้ำโภชนะพร้อมทุกอย่างน่ากินวางไว้อยู่ตรงหน้า แต่ว่าอาหารนั้นก็สักแต่วางตั้งท่ารอให้กินเท่านั้น ยังอยู่คงเดิม เพราะมหิทธิกเปรตแม้จะมีฤทธิ์ แต่ก็ไม่อาจจะกินอาหารเหล่านั้นได้ แม้จะหิวมากแค่ไหน แต่ก็จะหยิบจะจับกินไม่ได้เลย
ทำได้แต่เพียงการนั่งดูยืนดูเท่านั้น
ครั้นเวลาหิวมากๆ จนทนไม่ไหว จะโดยจงใจหรือเผลอเอามือหยิบจับอาหารนั้นๆ เตรียมเข้าปาก ทว่าทันทีที่หยิบเตรียมใส่ปาก อาหารที่ว่านั้นก็ได้เปลี่ยนสีสันไป จากที่จะคงรูปเป็นอย่างเดิม แต่มันได้ลุกเป็นไฟแดงๆ ขึ้นจนเปรตนั้นต้องสลัดอาหารนั้นทิ้งพัลวัน
อาหารต่างๆ สีสันน่ากินมาอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ ช่างน่าสงสารแค่ไหน
แต่แปลกไหมละว่า สิ่งสกปรกโสโครกทั้งหลายตามที่ต่างๆ เมื่อเปรตพวกนี้ประสบพบเห็นแล้วต่างก็วิ่งปรี่เข้าไปหาพร้อมกับดูดกินของโสโครกนั้นอย่างเอร็ดอร่อย เห็นแล้วต้องช็อกสายตาพลางสะอิดสะเอียนหากมนุษย์อย่างเราเห็นภาพเช่นนั้น
บางทีมหิทธิกเปรตเมื่อหิวขึ้นมาไม่ได้ฉวยหาอาหารอะไร ก็จะขูดเอาเนื้อหนังและกินเลือดของตัวเอง ซึ่งถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏสู่สายตาคนคงไม่พ้นต้องเซ็นเซอร์อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นภาพที่อุจาดและชวนสยดสยอง
อย่างไรก็ตาม เปรตนี้ก็ยังพอมีโอกาสจะได้กินอาหารอันโอชะอยู่บ้าง ทั้งนี้ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากด้วยผลกรรมที่เปรตพวกนี้เมื่อก่อนเป็นมนุษย์ได้บวชเป็นภิกษุ สามเณร ได้เคยรักษาศีลอยู่บ้าง จึงทำให้ได้มีโอกาสได้กินอาหารที่ดีบ้าง แต่ก็นานเสียยิ่งกว่านานจะได้โอกาสอย่างนั้น
กรรมอะไรที่นำพาให้คนมาเกิดเป็น “มหิทธิกเปรต” ท่านว่าผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นมหิทธิกเปรตนั้น เนื่องจากในชาติที่เป็นมนุษย์ได้บวชเป็นภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา แต่พอบวชแล้วรักษาศีลได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
บางครั้งถูกความโลภครอบงำ เช่น สิ่งของที่ทายก ทายิกา ถวายเจาะจงสงฆ์ ก็กลับเอาของนั้นมาเป็นของของตน หรือเอาของนั้นไปให้ญาติของตน หรือหวงแหนของนั้นไว้ใช้คนเดียวโดยที่ไม่ให้รูปอื่นได้ใช้สอย เป็นต้น
เพราะฉะนั้น คนที่บวชเป็นภิกษุและสามเณรทั้งหลาย ถ้ายังเป็นผู้ที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความโลภเช่นนี้ กรรมที่ทำเพราะความโลภเป็นเหตุย่อมนำพาให้ไปเกิดเป็นมหิทธิกเปรตอย่างไม่ต้องสงสัย