จวงจื่อ-ไม่กลัวตาย ไม่รนหาที่ตาย
เมื่อปราชญ์จวงจื่อใกล้จะสิ้นใจ ผู้คนรอบข้างและลูกศิษย์ลูกหาต่างปรึกษากันว่าจะจัดการเรื่องศพของจวงจื่ออย่างไร จวงจื่อตอบว่า
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
เมื่อปราชญ์จวงจื่อใกล้จะสิ้นใจ ผู้คนรอบข้างและลูกศิษย์ลูกหาต่างปรึกษากันว่าจะจัดการเรื่องศพของจวงจื่ออย่างไร จวงจื่อตอบว่า ก็แค่ให้โยนศพทิ้งไว้บนภูเขาเท่านั้น ปล่อยให้นกกาและสัตว์ป่ากินศพข้าก็เป็นอันจบ
แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่รายล้อมอยู่ไม่ค่อยสบายใจที่จะทำตาม พากันบอกจวงจื่อ ว่า “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องฝังศพท่านให้เรียบร้อยสักหน่อย”
จวงจื่อบอกว่า “ดูพวกเจ้าสิ ถ้าเจ้าโยนศพข้าทิ้งไว้บนภูเขา ฟ้ากว้างก็จะกลายเป็นโลงศพของข้า พระอาทิตย์และพระจันทร์คือหยกประดับศพของข้า ดวงดาวทั้งหลายบนฟากฟ้าคืออัญมณีที่ฝังไปพร้อมกัน สรรพสิ่งต่างๆ ล้วนส่งข้าไปยมโลก อย่างนี้ดีจะตายไป”
“พวกเจ้ากลัวนกกลัวสัตว์ทั้งหลายรุมทึ้งกินศพข้า กลับเอาข้าผนึกใส่โลง ฝังลงในดินพร้อมทรัพย์สินมากมาย สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องโดนมดโดนแมลงใต้ดินกัดแทะกินเสียสิ้นอยู่ดี พวกเจ้าจะยุ่งยากแย่งศพข้าจากเหล่านกกาสัตว์ป่าไปป้อนให้มดแมลงทำไมกัน จะโดนกินบนดินหรือใต้ดิน มีอะไรต่างกันหรือ”
...จะว่าไป ในบรรดานักคิดของจีนทั้งหลาย ไม่มีใครเล่นสนุกกับความตายได้มากกว่าจวงจื่อ
จวงจื่อเป็นนักปราชญ์สายเต๋า ในขณะที่เหลาจื่อผู้เป็นต้นตำรับเป็นบุคคลลึกลับ ไม่มีประวัติชัดเจน และทิ้งคำสอนเพียงจำนวนน้อยนิด จวงจื่อดูจะมีตัวตนชัดเจนขึ้นมาอีกหน่อย และทิ้งคำสอนไว้มากกว่าเหลาจื่อ
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเขาน่าจะมีชีวิตอินดี้ในโลกนี้ช่วงประมาณก่อน ค.ศ. 370 ปี และเสียชีวิตในช่วงก่อน ค.ศ. 287 ปี
คำสอนของจวงจื่อมักเล่าผ่านนิทานกระชากความคิด สิ่งที่นิทานของจวงจื่อมักเน้นย้ำคือ “อิสระ” และ “สัจจะ” ของการดำรงชีวิต และความตาย
โดยเฉพาะในเรื่องความตาย จวงจื่อเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดามากที่สุดในบรรดานักคิดในประวัติศาสตร์จีน ความตายเปรียบเสมือนฤดูที่หมุนเวียน ความตายเป็นกระบวนการหนึ่งที่มาพร้อมกับการมีชีวิต ความตายไม่อาจทำให้จวงจื่อรู้สึกต้องเตรียมตัวสะสมหรือแม้กระทั่งเตรียมตัวปล่อยวาง เพราะความตายเป็นสภาวะธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งเมื่อภรรยาของจวงจื่อสิ้นใจ เพื่อนของจวงจื่อแวะมาที่บ้าน เขาเห็นจวงจื่อในสภาพนั่งเอกเขนก เอาชามมาวางไว้บนตัก แล้วเคาะจังหวะร้องเพลงอย่างสบายใจ เพื่อนของจวงจื่อจึงว่ากล่าว “ภรรยาท่านร่วมชีวิตกับท่านมานาน เลี้ยงดูลูกหลานกับท่าน แก่ตัวลงไปด้วยกันกับท่าน บัดนี้นางจากไป ท่านไม่ร่ำไห้ไว้อาลัยก็ยังพอไหว ไฉนจึงมีใจมานั่งร้องเพลงเช่นนี้เล่า”
จวงจื่อตอบว่า “ท่านตัดสินเราผิดไปแล้ว แรกเริ่มเราเองก็โศกเศร้ากับการจากไปของภรรยา แต่คิดดูสิ ก่อนที่ภรรยาเราจะเกิดขึ้นมา เธอมาจากไหนกัน เธอไม่มีรูปร่าง ไม่มีจิตวิญญาณ เมื่อธรรมชาติเกิดการพลิกผัน ทำให้เกิดเธอขึ้นมา เกิดชีวิตของเธอขึ้นมา มาถึงตอนนี้ก็เป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เธอกลับไปไม่มีชีวิต ไปสู่ธรรมชาติเมื่อครั้งก่อนเธอเกิดขึ้นมา เปรียบเสมือนฤดูกาลผันแปรวนเวียนไป บัดนี้เธอพักผ่อนอย่างสงบในโลกที่กว้างใหญ่ หากเราขัดจังหวะธรรมชาติด้วยเสียงร่ำไห้โหยหาสะอึกสะอื้น แสดงว่าเราไม่เข้าใจในวิถีและชะตากรรมอะไรเลย เราจึงหยุดโศกเศร้าเสีย”
เรื่องเล่าของจวงจื่อหยุดเพียงเท่านี้ มิได้บอกว่าเพื่อนของจวงจื่อรู้สึกอย่างไร แต่หากเราฟังคำอธิบายด้วยใจสงบก็พอบอกได้ว่า จวงจื่อเข้าใจสัจจะมากกว่าไร้กาลเทศะ
จวงจื่อเห็นความตายเป็นธรรมดาได้ เพราะเขามิได้มองความตายเป็นเพียงจุดจบ เขามองถึงสภาวะธรรมชาติซึ่งมีมาก่อนสภาวะเกิดและสภาวะต่อไปหลังจากดับ
จวงจื่อไม่เกลียดความตาย จวงจื่อไม่กลัวตาย เพราะเขามองวัฏจักรของชีวิตไกลและกว้างกว่านั้น
แต่การมองเห็นความตายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำให้จวงจื่อไม่แคร์ชีวิต
ครั้งหนึ่งอ๋องแคว้นฉู่ให้อำมาตย์สองคนไปเชิญจวงจื่อออกจากการปลีกวิเวกมาช่วยชาติ โดยหมายมั่นจะให้จวงจื่อเป็นถึงเสนาบดี (ดูเหมือนจวงจื่อไม่ได้มีชื่อแค่ด้านอินดี้ แต่น่าจะมีสติปัญญาเป็นที่เลื่องลืออยู่เหมือนกัน)
เมื่ออำมาตย์ใหญ่ไปถึง จวงจื่อนั่งตกปลาอยู่ อำมาตย์ทั้งสองได้รับบัญชา จึงกล่าวกับจวงจื่อด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านจวงจื่อ ดูท่านช่างเพลิดอยู่กับการตกปลา มิทราบว่าข้าทั้งสองจะขอรบกวนเวลาว่างของท่านพูดคุยเรื่องสำคัญของรัฐได้หรือไม่”
จวงจื่อพูดโดยไม่แม้แต่แหงนหน้าขึ้นมามอง บอกว่าข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง
“มีเต่าวิเศษตัวหนึ่งอายุยืนมาก แต่อย่างไรก็ดีมันก็ตายในที่สุด มันตายไปแล้วสามพันปี แต่กระดองวิเศษที่เหลืออยู่มีค่าสูงยิ่ง สูงจนกระทั่งต้องเอาแผ่นทองคำมาปิดแล้วผนึกใส่กล่องไม้เนื้อดี แล้วนำไปตั้งไว้ในศาลเจ้า ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อกราบไหว้บูชา เต่าวิเศษที่ทรงคุณค่าแบบนี้ในศาลเจ้า เมื่อเทียบกับการเป็นเต่าที่เดินตามดินว่ายน้ำสะบัดหางอยู่ตามโคลนเลน ท่านทั้งสองว่าถ้าให้เลือกเป็นระหว่างเต่าธรรมดากับเต่าวิเศษแบบไหนจะดีกว่ากัน”
อำมาตย์ทั้งสองคิดตาม ตอบไปว่า “ดูท่าเต่าธรรมดาที่มีชีวิตอยู่น่าจะดีกว่า”
จวงจื่อจึงว่า “นั้นก็เชิญท่านกลับไปเสีย”
ให้จวงจื่อสะบัดหางเล่นเลนต่อไปเสียดีกว่า ดีกว่าที่จะให้จวงจื่อกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพบูชา แต่กลับไร้ชีวิตชีวาอยู่บนแท่นแห่งเกียรติยศชื่อเสียง
สำหรับจวงจื่อ การใช้ชีวิตอยู่กับสัจจะ ไม่บิดเบือนธรรมชาติของชีวิต คือการไม่รนหาที่ตาย
ไม่กลัวตายและไม่รนหาที่ตาย คือเคล็ดลับของการใช้ชีวิตของจวงจื่อ คือเคล็ดลับของการอยู่กับการหมุนเวียนเปลี่ยนไปของฤดูกาลและขวบปี อย่างมีอิสระ
เรียกได้ว่าเป็นทัศนคติเรื่องความตายของชาวจีนรูปแบบหนึ่ง
และหากเรายังทำใจไม่ได้มากพอที่จะมองความตายเป็นเหมือนฤดูกาล ก็อาจจะลองมองกลับฤดูกาลหรือขวบปีที่ผ่านไปเป็นเสมือนการดับไปแล้วได้เกิดใหม่ ก็ไม่เลว