สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

14 มกราคม 2560

พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน) จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่ครบ 100 วันแห่งการเสด็จสวรรคต

โดย...กองทรัพย์ ชาตินาเสียว / ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์

พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน) จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่ครบ 100 วันแห่งการเสด็จสวรรคต แม้จะมีการงดเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพประชาชนก็ยังอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และรอคอยที่จะไปถวายบังคมพระบรมศพอย่างใจจดจ่อ

แม้ 100 วันที่ผ่านพ้นไป ภาพเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นมากมาย แต่มีประชาชนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ด้วยหัวใจ และร่วมถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาจากดวงใจจงรักภักดีให้โลกรับรู้ด้วยเช่นกัน

นั่นคือผู้พิการทางสายตาหรือคนตาบอด

ซึ่งจากสถิติข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการทั่วประเทศ ทั้งหมด 1,918,867 ราย ซึ่งมีจำนวนคนพิการทางการเห็น 181,821 ราย แบ่งเป็น ชายจำนวน 87,081 ราย และหญิงจำนวน 94,740 ราย โดยยังไม่รวมถึงจำนวนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนไว้ (ข้อมูลวันที่ 2 พ.ย. 2558)

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

เว็บไซต์ไซน์เดลี่ มีบทความที่ชี้ว่าบุคคลซึ่งตาบอดแต่กำเนิดนั้นสามารถที่จะตรวจจับข้อมูลทางการสัมผัสได้ดีกว่าคนที่มีสายตาปกติ จากการค้นพบของมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ดร.ดาเนียล โกลด์รีช แห่งมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ที่พิเศษขึ้นจากความผิดปกติของร่างกาย ในแง่ของการที่คนตาบอดจะรับรู้ไวกว่าคนปกติ

นักวิจัยได้ทดลองความสามารถในการสัมผัสของคน 89 คนที่มีสายตาปกติ และอีก 57 คนที่พิการทางการมองเห็น โดยอาสาสมัครจะถูกล็อกไม่ให้นิ้วชี้เคลื่อนที่ได้ จากนั้นทั้งสองกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ทำงานง่ายๆ อย่างเดียวกัน คือ แยกแยะให้ออกว่ามีการเคาะนิ้วเบาๆ กับหนักๆ แต่การเคาะเบาๆ จะตามด้วยหนักๆ แทบจะในทันที แถมยังเคาะแบบติดต่อกันจนสั่นด้วย เพราะการสั่นนั้นมักจะทำให้ลดความสามารถในการรับรู้การเคาะได้

กรุณาอย่าแปลกใจถ้าคนตาบอดจะถามหาสวิตช์ไฟฟ้าในบ้านเรือนหรือที่ทำงาน เพราะหากคนตาบอดจะช่วยเปิดปิดไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้อื่นแล้วยังมีคนตาบอดจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบอยู่ในห้องซึ่งปราศจากแสง เพราะร่างกายและทักษะการสัมผัสของพวกเขาไวกว่าคนปกติ

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

ภาพและโลกที่พวกเขามองไม่เห็นด้วยตา แต่พวกเขามองเห็นด้วยหัวใจ โดยเฉพาะการถ่ายทอดสัมผัสรักที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ด้วยดวงใจภักดิ์

‘ยิ้มสู้’ ในหลวง รัชกาลที่ 9 คุณูปการกับผู้พิการทางสายตา

ในทางการแพทย์ คนที่บกพร่องทางการมองเห็น หรือที่เรียกว่าคนตาบอด หมายถึงผู้ที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นเห็นแสง เห็นเลือนราง และมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนปกติ หลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์หรือมีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ตาบอดสนิท หมายถึงคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นได้บ้างไม่มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ ในการเรียน การสอน หรือทำกิจกรรมได้ ต้องใช้ประสาทสัมผัส อื่นแทนในการเรียนรู้ และหากมีการทดสอบสายตาประเภทนี้ อาจพบว่าสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/20 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะแคบกว่า 5 องศา

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

2. ตาบอดไม่สนิท หรือบอดเพียงบางส่วน สายตาเลือนราง หมายถึงมีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้าง แต่ไม่เท่าคนปกติ เมื่อทดสอบสายตาประเภทนี้ จะมีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/60 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะกว้างสูงสุดไม่เกิน 30 องศา

มณเฑียร บุญตัน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เล่าประสบการณ์ตรงครั้งหนึ่งในชีวิต แม้จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระองค์ท่านน้อย ทว่า ผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงกับท่านส่วนใหญ่ก็อายุประมาณ 70 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะสำหรับผู้พิการทางด้านสายตา เพราะพระองค์ท่านสมัยยังทรงพระเยาว์ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ และยังไม่มีพระราชกรณียกิจในต่างจังหวัดมากนัก

“ช่วงนั้นพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปเยี่ยมโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนสอนคนพิการแห่งแรกในประเทศไทย โดยโรงเรียนนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2482 ซึ่งคนที่อยู่ในโรงเรียนนั้นจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่าน ดังนั้น คนที่มีโอกาสจึงเป็นคนรุ่นสมัย 2490 จนถึง 2500 ต้นๆ ซึ่งก่อนที่ตัวเองเกิด ฉะนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีมาจากคำบอกเล่าของคนรุ่นๆ นั้น”

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

อย่างไรก็ตาม มณเฑียร ขยายความว่า สิ่งที่พระองค์มีต่อประชาชนนั้นส่งผลต่อเนื่องยาวนาน เช่น บทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” เกิดจากที่ส่วนตัวคิดว่า พระองค์ทรงได้สัมผัสกับประชาชน แล้วก็ได้มีการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยน ขนาดมีคนเล่าว่าพระองค์ท่านเคยสอนดนตรีให้กับคนตาบอดสมัยนั้นในการเล่นแซ็กโซโฟน และพระราชทานแซ็กโซโฟนด้วย

“ผมเชื่อว่าพระองค์ท่านมีความเข้าพระราชหฤทัยพวกเราอย่างลึกซึ้งจึงได้พระราชทานบทเพลงพระราชนิพนธ์ ‘ยิ้มสู้’ ซึ่งมีเนื้อหาสาระในเชิงให้กำลังใจ เพื่อให้พวกเรานั้นไม่สิ้นหวัง และพูดถึงคติ โลกทัศน์ ในการมองโลกอย่างไร และการพูดถึงทัศนคติความเป็นคน มันไม่ได้อยู่ที่ฐานความแตกต่าง ไม่ได้อยู่ที่ลักษณะทางกายภาพ แต่มันอยู่ที่การทำความดี ความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระที่แสดงให้เห็นถึงการเอาพระทัยใส่ และพระปรีชาสามารถทรงรู้และเข้าพระทัยในเรื่องเหล่านี้”

มณเฑียร เล่าต่อว่า  หลังจากที่พระองค์เสด็จฯ ไปต่างจังหวัด และระยะหลังโรงเรียนสอนคนตาบอดมีการขยายออกไปต่างจังหวัดมากขึ้น อาทิ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี เป็นต้น เมื่อพระองค์ได้พบผู้พิการหรือคนตาบอดที่ไหนก็ตาม พระองค์จะแนะนำให้ไปเรียนหนังสือ ถึงขนาดหลายคนก็รับไว้เป็นเด็กในพระบรมราชานุเคราะห์ ขณะที่บางคนอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาก พระองค์ท่านก็ทรงจัดการดูแล

“ผมมีเพื่อนหลายคนที่อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระองค์ท่าน หลายคนได้เรียนหนังสือจนจบออกมาเป็นผู้เป็นคนแล้วทำมาหากินทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นภาพรวมที่ผมคิดว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

คือ สิ่งที่พระองค์ท่านต้องการให้เราเป็นเห็นได้ชัดเจน ซึ่งมีทัศนะที่เห็นจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ ‘ยิ้มสู้’ เป็นการจุดไฟ จุดประกายที่มีพลังอย่างมหาศาล และอีกครั้งที่เป็นพระราชดำรัสต่อผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับคนพิการไม่ใช่เฉพาะคนตาบอด ในคราวเสด็จฯ ไปเปิดอาคารเมื่อ 50 ปี ณ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ พระองค์มีพระราชดำรัสต่อคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนพิการว่า ขอให้ช่วยเหลือคนพิการ เพื่อให้คนพิการช่วยเหลือตนเองได้”

มณเฑียร ยอมรับว่า เห็นได้ชัดพระองค์มีความเข้าพระทัยแค่ไหน การช่วยเหลือคนพิการไม่ใช่แค่สงเคราะห์ให้อยู่ไปวันๆ หรือช่วยตามมีตามเกิด แต่เป็นการช่วยเพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งหลักการคิดแบบนี้สมัยนั้นสังคมไทยแทบจะไม่มี เป็นการช่วยเหลือแบบให้ทานกันไปตามมีตามเกิด ซึ่งหลักการดังกล่าวทันสมัยจนมาถึงทุกวันนี้

 อีกทั้งยังเป็นการเสริมพลังให้กับคนลุกขึ้นมาช่วยตัวเอง เป็นวิสัยทัศน์อันยาวไกล คือ ท่านต้องการให้ต่อสู้ มองความเป็นคนที่จิตใจและการกระทำ ส่วนคนนอกมองว่าการช่วยเหลือคนพิการดีที่สุด คือ ให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เรื่องเหล่านี้ถือว่ามีคุณูปการใหญ่หลวง

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

“สำหรับส่วนตัวนั้นกับประสบการณ์ตรง ยอมรับว่าเป็นคนชนบทเกิดที่ จ.แพร่ ครั้งแรกที่มีโอกาสเกือบได้เข้าเฝ้าฯ อายุประมาณ 4-5 ปี ท่านเสด็จพระราชดำเนินไป จ.แพร่ ทุกคนดีใจพระเจ้าแผ่นดินเสด็จ แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้พาไป ซึ่งไม่ทราบว่าสาเหตุใด ครั้งที่สอง สมัยเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกือบได้รับพระราชทานปริญญา ซึ่งสมัยนั้นพระองค์ท่านยังพระราชทานปริญญาบัตรอยู่ แต่ส่วนตัวสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เพราะเรียนจบสามปีครึ่ง และต้องเดินทางต่อไปยังสหรัฐ ตั้งแต่เดือน ส.ค. และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตอนนั้นรับปริญญาช่วงเดือน ม.ค. จะกลับมารับก็เสียค่าใช้จ่ายสูง ก็เลยรับปริญญาผ่านทางไปรษณีย์

“ครั้งที่สาม จึงมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านโดยตรงจริงๆ อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ตอนที่ท่านเสด็จพระราชดำเนินเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ เมื่อปี 2547 โดยส่วนตัวได้รับเชิญจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  (สวทช.) ให้ไปประจำบูธของ สวทช. และพระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่านมาและทรงทอดพระเนตร”

มณเฑียร บอกต่อว่า ซึ่งคณะนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้กราบบังคมทูลแนะนำตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งตนทำงานให้กับสมเด็จพระเทพฯ ตั้งแต่ปี 2537 เมื่อทรงแนะนำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสถามลักษณะเทคโนโลยีที่จะช่วยให้คนพิการสามารถพึ่งตัวเองได้ เลยกราบบังคมทูลสั้นๆ ประมาณ 1 นาที

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

“ผมได้ยินแต่เรื่องของพระองค์ผ่านสื่อ ได้ทราบพระราชกรณียกิจ การทรงงานต่างๆ แล้วผมทราบว่าพระองค์ท่านทรงมีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งโดยพื้นฐานการเรียน วิธีการทรงงาน แนวพระราชดำริ ทรงเชื่อในเหตุผล ในความเป็นไปได้ และเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ บังเอิญผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้าพระพักตร์จริงๆ ก็เป็นในงานวิทยาศาสตร์ จึงคิดว่าโชคดี แม้จะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวได้เข้าเฝ้าฯ และเป็นครั้งสำคัญทำให้ได้มองอนาคตแบบมีความหวังว่า ประเทศไทยโดยเฉพาะคนพิการ คนตาบอด จะสามารถอยู่รอดและพัฒนาต่อไปในอนาคต ทำให้ผมมุ่งมั่นส่งเสริมการเรียนวิทยาศาสตร์ให้กับคนตาบอดจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงบันดาลใจที่ได้เข้าเฝ้าฯ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมันมีความหมาย”

รู้จักในหลวง ร.9 ผ่านงานปั้นภาพ

 จดจำจากคำบอกเล่าคงไม่เท่าได้สัมผัสจริง แม้จะมองเห็นไม่ได้ด้วยดวงตา แต่คนผู้พิการทางสายตาสามารถสัมผัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ด้วยหัวใจ นอกจากคำบอกเล่าที่ส่งต่อกัน การรับฟังเรื่องราวจากสื่อวิทยุหรือโทรทัศน์ มุมหนึ่งของการเห็นพระพักตร์ของในหลวง รัชกาลที่ 9 คือการสัมผัสด้วยมือ อย่างที่กลุ่มสร้างสรรค์วาดเส้นเล่นดนตรี ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ศิลปะเป็นสื่อกลางเพื่อสื่อสารให้คนตาบอดและพิการซ้ำซ้อนได้รับรู้ถึงพระเมตตาผ่านพระพักตร์ที่อ่อนโยนของพระองค์

สำหรับจิตรกรการได้วาดภาพในหลวง รัชกาลที่ 9 คือที่สุดของนักวาดทุกคน การวาดรูปพระองค์คือสิ่งเดียวที่ทำเพื่อคลายความคิดถึง แต่สำหรับผู้พิการทางสายตาเพียงแค่พวกเขาเริ่มวางมือและคลำไปตามโครงสร้างของแบบที่นูนขึ้นของปูนปลาสเตอร์ บวกกับการใช้จินตนาการร่วมด้วย ก็สามารถรับรู้ได้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงฉลองพระเนตร ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดสูท และถือกล้องถ่ายภาพ เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ศิลปินและอาสาสมัครกลุ่มวาดเส้นเล่นดนตรีปรับใช้กับคนตาบอดในศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนตาบอดพิการซ้ำซ้อนนครนายก ถือเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในหลวง รัชกาลที่ 9 และทำความดีด้วยงานศิลป์

สัมผัสรัก ‘ในหลวง ร.9’

 

“การยกพรสวรรค์ด้านการสัมผัสซึ่งพิเศษนี้ มาช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของคนตาบอดแล้ว ยังทำให้พวกเราระลึกถึงและเชื่อมโยงกับในหลวงได้เสมอ” สาธิต อยู่พลู คนตาบอด ในศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนตาบอดพิการซ้ำซ้อนนครนายก บอกเล่าถึงความรู้สึก

ตัวเขาเป็นเด็กที่มองไม่เห็นตั้งแต่เด็ก ที่นี่เป็นศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนตาบอดพิการซ้ำซ้อน ดังนั้นบางคนไม่ได้ตาบอดอย่างเดียว บางคนจะมีปัญหาเรื่องการใช้กล้ามเนื้อมือร่วมด้วย

“เมื่อเราอายุมากขึ้นหากเราไม่ได้ใช้อนาคตกล้ามเนื้อจะสึกไปตามวัย ผมว่างานศิลปะประเภทการปั้นแบบนี้นอกจากจะทำให้มือเราได้ใช้งาน ยังทำให้เราได้ใช้ความคิดจินตนาการให้มีประโยชน์  ผมรับรู้เรื่องราวของพระองค์จากการฟังเรื่องราวมากมาย เป็นเรื่องที่ฟังแล้วล้วนปลาบปลื้ม โดยเฉพาะการทรงงานอย่างยาวนานถึง 70 ปี แต่สำหรับวันนี้ผมสัมผัสเห็นว่าพระองค์ท่านใส่แว่นตา และรู้ว่าที่ท่านต้องสวมแว่นตาเพราะพระองค์เคยประสบอุบัติเหตุจนทำให้ต้องสูญเสียพระเนตรข้างหนึ่งไป และทำให้ต้องฉลองพระเนตรแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งการคลำภาพที่อาจารย์นำมาให้ทำให้เราเห็นภาพในหลวง รัชกาลที่ 9 ฉลองพระองค์ด้วยสูท และมีกล้องถ่ายภาพที่ท่านถือในพระหัตถ์ เวลาไปทรงงานที่ไหนพระองค์ก็จะถ่ายรูปเสมอ”

ไพบูลย์ ทับเทศ หนึ่งในผู้จัดตั้ง กลุ่มสร้างสรรค์วาดเส้นเล่นดนตรี บอกว่า คนตาบอดมีพรสวรรค์อีกด้านที่คนสายตาปกติไม่มีคือการมีสัมผัสที่พิเศษมากกว่า ประสาทด้านการสัมผัสเด่นชัดและแสดงออกได้มากกว่าคนที่มองเห็น เขาและกลุ่มวาดเส้นเล่นดนตรีจึงนำสิ่งที่คนกลุ่มนี้มีอยู่แล้วในตัวมาเพิ่มคุณค่าด้วยการผลิตผลงานศิลปะขึ้นมา

“พวกเขาเกิดมาไม่ได้เห็นภาพอื่นใด พอไม่เห็นภาพ เราก็อยากให้เขาได้สัมผัสพระพักตร์ของในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยผมจะเป็นคนร่างแบบขึ้นมาและให้ศิลปินในกลุ่มเป็นคนปั้นปูนปลาสเตอร์ เป็นภาพนูนต่ำ ซึ่งดีต่อการสัมผัส เป็นการเปิดโอกาสให้คนตาบอดได้ลงมือปั้นภาพในหลวง และฝึกฝนพัฒนาการด้านต่างๆ เช่น การได้ใช้มือสัมผัสวัดสัดส่วนโครงสร้าง การขยำ ปั้น คลึงและกด ซึ่งต้องให้เขามีสมาธิในการฟังก่อน จะเริ่มทำงาน หากเขาฟังได้แล้วทุกอย่างก็จะไม่ยากสำหรับเขา พยายามบอกให้เขาทำงานตามขั้นตอน เด็กบางคนทำงานได้ในช่วงสั้นๆ เราจะบอกเขาทีละสเต็ป แค่ให้เขารู้สึกว่าเขาได้ทำอะไรที่เขาไม่เคยทำ ให้เขารู้สึกว่าเขาก็ทำได้ เมื่อเขาพัฒนาตัวเองจากภายในได้แล้ว เขาจะต่อยอดไปสู่งานอื่นๆ ในชีวิตได้”  นักศิลปะบำบัดระบุ

ในหลวง ร.9 ต้นแบบความเพียร

อีกหนึ่งตัวแทนของผู้พิการทางด้านสายตา คือนายหนังตะลุงตาบอดอัจฉริยะ เจ้าของบทเพลง เพียงพอตามรอยพ่อหลวง บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง หรือน้องเดี่ยว นายหนังตะลุงคณะน้องเดี่ยวลูกทุ่งวัฒนธรรม เป็นการแสดงหนังตะลุงร่วมสมัย ที่ได้รับการยอมรับและยกย่องชื่นชมความสามารถและถูกยกให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะ นายหนังตะลุงน้องเดี่ยวเป็นผู้พิการมาตั้งแต่กำเนิดแต่ยังสู้ชีวิต จนกระทั่งมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน และนายหนังตะลุงน้องเดี่ยวยังเป็นนายหนังที่ช่วยสอนให้วัยรุ่นสมัยใหม่เกิดความสนใจในหนังตะลุงมากขึ้น เนื่องจากนายหนังตะลุงน้องเดี่ยวใช้หนังตะลุงในการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรม ภาษาการพูดของชาวภาคใต้ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้พิการทางสายตาอีกหลายคนทีเดียว

น้องเดี่ยว ในวัย 23 ปี ที่เพิ่งเข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานาฏศิลป์และแสดง ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา เขาบอกว่ามีต้นแบบด้านความเพียรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งวิธีการฝึกฝนและเรียนรู้การแสดงหนังตะลุงนั้น เขานำวีซีดีจากคณะหนังตะลุงหลายคณะมาเปิดฟัง แล้วนำเอาส่วนที่ดีของทุกคณะมาประยุกต์ใช้ในการแสดง รวมทั้งติดตามเรื่องราวข่าวสารบ้านเมืองทุกเรื่อง เพื่อนำมาสอดแทรกใช้ในการแสดง รวมทั้งแนวคิดจากพระบรมราโชวาทต่างๆ ด้วย

“ดีใจที่ได้สร้างความสุข สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม และได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี อยากให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจและสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้อยู่คู่กับปักษ์ใต้ตลอดไปโดยปฏิญาณตนว่าจะมุ่งมั่นในการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยแนวทางของพระองค์ท่าน เป็นสิ่งที่ดีที่ลูกไทยหลานไทยนำไปปรับใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย”

มาวังหลวงเพื่อเข้าใกล้ในหลวง ร.9

ในเช่นเดียวกับสองสาวผู้พิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิด พลอยชมพู วิลัยหกและ เอมวิภา เหม็งศรี นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการขับร้อง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่เดินทางเข้ามากราบพระบรมโกศ พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในช่วงวันหยุด

แม้การเดินทางที่ลำบากกว่าคนสายตาปกติ แต่ที่สุดแล้วหัวใจก็พาเธอและเพื่อนออกเดินทางจากหอพักย่านรามคำแหงตั้งแต่เช้า แต่ได้เข้ากราบในช่วงบ่าย พลอยชมพู เผยความรู้สึกว่า ประทับใจที่เดินทางเข้ามากราบพระบรมศพได้สำเร็จ

“การเดินทางมาครั้งนี้จะลำบาก ต้องถามทางขอความช่วยเหลือคนรอบๆ ตัว แต่ก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างดีมาตลอดทาง พอมาที่นี่ก็มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก นำทางเข้ามาจนได้เข้ากราบ ตอนเข้าไปรู้สึกตื่นเต้นระลึกถึงสิ่งที่ในหลวงทรงมีพระเมตตากับคนไทย และรู้ได้ว่าการมาที่นี่สำหรับผู้พิการทางสายตา ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย ถ้าเรามีความตั้งใจ และกล้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ก็มาถึงได้เช่นกัน

“ส่วนตัวได้ยินเรื่องราวของพระองค์ท่านมาเยอะมาก จากการบอกต่อของรุ่นพี่ในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ว่าพระองค์เป็นผู้มีพระเมตตาต่อผู้พิการทางสายตามาก สมัยก่อนพระองค์โปรดทรงดนตรีกับนักเรียนตาบอดทุกปี ไม่ถือพระองค์เลย พร้อมให้กำลังใจ สอนผู้พิการให้สู้กับโชคชะตา ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าไม่ท้อถอย” พลอยชมพู  กล่าวด้วยความปลื้มใจ

Thailand Web Stat