พระปราโมทย์ ดูจิต...ศิษย์ใคร...ซึ่งต้องพิสูจน์
สิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเหตุการณ์นี้คือ นี่คือโอกาสในการชำระแนวทางคำสอนของสายพระป่าอย่างหนึ่ง เพียงแต่...ประเด็นหลักของเรื่องนี้ยังไม่ถูกนำมาขึ้นโต๊ะ!
สิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเหตุการณ์นี้คือ นี่คือโอกาสในการชำระแนวทางคำสอนของสายพระป่าอย่างหนึ่ง เพียงแต่...ประเด็นหลักของเรื่องนี้ยังไม่ถูกนำมาขึ้นโต๊ะ!
ก่อนจะปรากฏนาม พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรมในวันนี้ หลายปีมาแล้วมีผู้ใช้นามว่า “สันตินันทอุบาสก” ได้เขียนประสบการณ์ภาวนาลงตีพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ เนื้อหาบทความเรื่องนั้นบอกเล่าถึงการได้รับการชี้แนะจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และพระป่าอีกหลายรูปซึ่งล้วนแต่ขึ้นชื่อเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ เป็นพระดีซึ่งพุทธศาสนิกชนและบรรดาพ่อแม่ครูอาจารย์สายปฏิบัติทั้งหลายเชื่อมั่นว่าเป็นพระอรหันต์ร่วมยุคสมัยทั้งสิ้น
ต่อมา “สันตินันท์” ได้ปรากฏตัวในโลกออนไลน์ที่ “ลานธรรมเสวนา” ในห้องสมุดพันทิปดอทคอม และแตกแขนงไปในกระดานข่าววิมุตติ และที่ต่างๆ อาทิ http://witawatpage.hypermart.net/ SantiTham/, http://pantip.inet.co.th/cafe/library, http://dhama.school.net, http://dhama.school.net.th/wimuti ในนามสันตินันท์ และอุบาสกนิรนาม
ห้องธรรมะในโลกออนไลน์เหล่านี้กลายเป็นแหล่งพบปะของคนรุ่นใหม่ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รวมตัวกันต่อมา และทำให้ได้รู้ว่าสันตินันท์ และอุบาสกนิรนามนั้นคือ ปราโมทย์ สันตยากร
ความร้อนแรงจากธรรมะออนไลน์ทำให้เกิดคอลัมน์ธรรมะรายวันในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ โดยปราโมทย์ในภาคของ “อุบาสกนิรนาม”
ต่อมามีการประมวลเนื้อหาเรื่องราวในกระดานธรรมและคอลัมน์ดังกล่าวตามแนว “การดูจิต” ขึ้นเป็นหนังสือครั้งแรกเมื่อปี 2544 ใช้ชื่อว่า วิมุตติปฏิปทา
มีอยู่อย่างน้อย 3 ปัจจัยที่ทำให้ “สันตินันท์ และอุบาสกนิรนาม” เรียกศรัทธาจากผู้คนในระดับชนชั้นกลางและปัญญาชนทั้งหลายได้มากกว่าสำนักใดๆ
หนึ่ง คือ ใช้สื่อสมัยใหม่โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
สอง บทความ บทความซึ่ง “สันตินันทอุบาสก” ได้เขียนประสบการณ์ภาวนาลงตีพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ซึ่งต่อมาปราโมทย์ สันตยากร ได้ปรับปรุงใหม่เป็น “บันทึก (ไม่) ลับอุบาสกนิรนาม” นั้นได้บ่งถึงภูมิจิต ภูมิธรรมของผู้ปฏิบัติกลายๆ โดยมีเรื่องราวเกี่ยวพันพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งเป็นที่สักการะทั่วไปในลักษณะให้การรับรองการปฏิบัติของเขา
อุบาสกนิรนาม เล่าถึงประสบการณ์แรกภาวนาของเขาว่า ได้ไปหาหลวงปู่ดูลย์ที่ จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2525 ระหว่างรีรออยู่นั้นหลวงปู่ก็ออกมาจากกุฏิ เมื่อเห็นหลวงปู่นั่งที่เก้าอี้โยกแล้วเขาจึงเข้าไปกราบเรียนว่า “ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่” คราวนี้ท่านหลับตานิ่งเงียบไปกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนาพุทโธจนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไปจะรู้อริยสัจเอง...แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา”
จากนั้นก็กลับมาภาวนาแยกเวทนา สัญญา สังขาร พอ “นึกถึงบทสวดมนต์เห็นความคิด บทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้ หลังจากนั้นผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่าขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับเอง เหลือแต่จิตผู้รู้...”
หลังจากนั้น 3 เดือน เขากลับไปหาหลวงปู่ดูลย์เพื่อถามว่า “ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป”
ถัดมาอีก 4 เดือน ปลายเดือน ก.ย. 2525 ระหว่างหลบฝนไปนั่งกอดเข่าอยู่ในกุฏิพระใกล้ที่ทำงานก็ดูจิตไปจน “ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไร เพราะไม่มีสัญญา) ต่อมาสิ่งละเอียดๆๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรๆ
เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่าความว่างเหลืออยู่นั้นถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง ในความว่างนั้นจิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรานี่ จากนั้นจิตได้มีอาการปีติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจว่า อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง...”
เมื่อกลับไปเรียนหลวงปู่ดูลย์อีกครั้ง “ท่านก็สรุปยิ้มๆ ว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก...”
นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ไปหาหลวงปู่ดูลย์ เขาว่าปี 2526 ก็ไปอีกครั้ง หนนี้หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “ให้ปฏิบัติเสียให้จบในชาตินี้นะ ผู้เขียนถามท่านว่า ผมจะทำให้จบในชาตินี้ได้หรือครับ หลวงปู่ตอบเสียงเฉียบขาดว่า จบ จบแน่นอน”
ไม่เพียงแต่เล่าถึงความสัมพันธ์เช่นนี้กับหลวงปู่ดูลย์ หากแต่ยังมีอีกหลายรูปซึ่งล้วนแต่เป็นนักปฏิบัติที่ผ่านฟากตายมาแล้วทั้งสิ้น เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร พระอาจารย์บุญจันทร์ จันทวโร พระอาจารย์หรุ่น สุธีโร
ใครที่สนใจเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ยินได้ฟังอย่างนี้ก็ต้องหลีกทาง และค้อมคำนับให้โดยมิสงสัย
สาม วิธีการสอน การดูจิตนั้นเป็นวิธีการที่ถูกจริตของคนที่พอรู้ธรรมะ แต่ไม่ใคร่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งคนประเภทนี้มีอยู่ดาษดื่นทั่วไป
หลักการดูจิตดังกล่าว คือ มีสติเฝ้ารู้ให้ทันถึงอารมณ์หรือสภาวธรรมที่กำลังปรากฏด้วยจิตตั้งมั่น ไม่เผลอส่งส่ายไปที่อื่น ไม่เพ่งจ้องบังคับ แล้วจะรู้สภาวธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง
วิธีนี้ไม่ต้องนั่งภาวนา ทำอะไรอยู่พอรู้ตัวดูจิตก็ใช้ได้แล้ว
จะมีอะไรถูกจริตนักภาวนาที่อยากภาวนาแต่ไม่อยากลงแรงไปมากกว่านี้?
อุบาสกนิรนามเผยแผ่วิธีการภาวนาแบบนี้ตั้งแต่ยังไม่บวช และเรียกศรัทธาได้มาก จึงไม่แปลกที่เมื่อเขาบวชโดยเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม วัดที่หลวงปู่ดูลย์เคยเป็นเจ้าอาวาส คณะศรัทธาจึงตามไปเฝ้าแหน แม้จะไปจำพรรษาที่สวนโพธิ์อรัญวาสี ที่ จ.กาญจนบุรี
เมื่อย้ายมาตั้งสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี คณะศรัทธาจึงเนืองแน่น ไม่แปลกที่จะสามารถสร้างสำนักขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีคนที่มีชื่อเสียงและนามสกุลดังทั้งหลายเข้าไปช่วยออกแรงออกสตางค์เอาบุญจำนวนมาก นามสกุลเหล่านี้มี อาทิ “ช่วงรังษี/เตชะไพบูลย์/เทวกุล ณ อยุธยา/ณ พัทลุง/ต.สุวรรณ/อัศวเรืองชัย ฯลฯ”
แต่การย้ายสำนักมาที่สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เหตุการณ์ก็พลิกผันไป
เกิดอะไรขึ้นที่สวนสันติธรรม
วันนี้คณะศิษย์ของพระปราโมทย์กลุ่มหนึ่งซึ่งพลิกศรัทธา จากที่เคยเริ่มใช้ช่องทางออนไลน์ ก่อกำเนิดเป็นวิมุตติปฏิปทา วันนี้พวกเขาได้ใช้ช่องทางออนไลน์นั่นเองเปิดเว็บแฉพระปราโมทย์ที่แอนตี้วิมุตติปฏิปทา http://www.antiwimutti.net พร้อมกับให้ทนายยื่นฟ้องเรียกเงินบริจาคคืน ข้อมูลที่พรั่งพรูออกมาสู่สื่อมวลชนผ่านไปสู่การรับรู้ของสาธารณะนั้นทั้งหมด แล้วเป็นข้อมูลประเภทที่ง่ายต่อการรับรู้ของคนในสังคม เช่น ทำไมต้องโอนชื่อที่ตั้งสำนักดังกล่าวเป็นชื่อของภรรยา อุบาสิกาอรนุช สันตยากร/พระปราโมทย์ขี่จักรยานออกกำลังกายโดยให้ศิษย์ซื้อกางเกงที่ใช้สำหรับปั่นจักรยานโดยเฉพาะ/พระปราโมทย์ไม่บิณฑบาต/พระปราโมทย์อวดอุตริมนุษยธรรม/มีการยักยอกเงินบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัว ฯลฯ
ข้อหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ศิษย์ในสำนักได้พบเห็นแล้วกังขา หลายคนไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ไปวัดเอาบุญ ภาวนาธรรมดาๆ หากแต่เป็นถึงกรรมการ หลายคนเป็นกระทั่งผู้ร่วมก่อตั้งก่อสร้างวัดมา และหลายคนเป็นผู้ร่วมคณะกันมาตั้งแต่ต้น
ข้อหาเหล่านี้ง่ายต่อการสื่อสารกับคนในสังคม ง่ายที่จะทำให้คนสนใจและจับตาดูว่าเกิดความผิดปกติ และให้ช่วยกันเอกซเรย์พระภิกษุรูปนี้ และสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ง่ายที่จะทำให้คนได้สติก่อนจะทุ่มศรัทธาไปมากกว่านี้
ทั้งหมดนั้นกำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบโดยมีการกล่าวหาซึ่งกัน และมีกระบวนการทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็มีการงัดหลักฐานมาตอบโต้กันเป็นระยะ เช่น ที่ดินกำลังอยู่ในกระบวนการโอนเป็นของวัด เรื่องอยู่ในสำนักงานพระพุทธศาสนาส่วนกลาง ฯลฯ
หลายเรื่องยังเก็บงำกันอยู่พร้อมที่จะปล่อยเป็นอาวุธลับออกมาตอบโต้กล่าวหากันต่อไป เรื่องประดานี้มีทั้งเรื่องเงินทองและชู้สาว ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีข้อมูลพร้อมที่จะงัดออกมาตอบโต้กัน
แต่ถึงที่สุดแล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็คงจะเป็นได้แค่การเปิดแผลพระปราโมทย์เท่านั้น แผลใหญ่แผลจริงมีการสะกิดสะเกากันอยู่บ้าง แต่อาการยังไม่เข้าขั้นโคม่า
ในบรรดาคำกล่าวหาทั้งหลายนั้น มีคำกล่าวหาหนึ่งซึ่งเข้าเป้าปักตรงหัวใจที่สุดนั่นคือ พระปราโมทย์สอนผิด อวดอุตริมนุษยธรรม แอบอ้างครูบาอาจารย์ บรรดาครูบาอาจารย์ที่ยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นล้วนละขันธ์ไปแล้ว จะกล่าวอ้างอย่างไรก็ได้ ไม่มีพยานยืนยัน
ผู้เปิดฉากทิ้งบอมบ์จนพระปราโมทย์ทรุดหนัก คือ พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต วัดป่าสันติพุทธาราม หรือวัดป่าเขาแดงใหญ่ ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
การทิ้งบอมบ์นี้เกิดผ่านออนไลน์อีกเหมือนกัน
ตั้งแต่ปีก่อนโน้นแล้วที่ www.watpa.com เว็บรวมข่าวสารพระป่าสายหลวงตามหาบัวยิงถล่มพระปราโมทย์ โดยนำไฟล์เทศนาของพระอาจารย์สงบขึ้นเผยแผ่ และประกาศชัดๆ ว่าพระปราโมทย์สอนผิด
พระอาจารย์สงบนั้นไล่เป็นลูกระนาดตั้งแต่ฟันธงถึงขนาดว่า “เขา” ไม่ใช่พระป่า หากแต่เป็นพระบ้านที่อยากปฏิบัติ ไปจนถึงการบิดเบือนคำสอนของหลวงปู่ดูลย์
“มันไม่มีความมั่นใจ...ไม่มีความมั่นใจตั้งแต่หนังสือเล่มแรกที่ออกมาแล้วนะ...ถ้าบอกว่าประกาศว่าเป็นพระป่า พระป่าเขาก็ถือนิสัยกัน พระป่าเขามีครูบาอาจารย์กัน ครูบาอาจารย์น่ะก็เหมือนกับเราจบมาจากสถาบันใด สถาบันนั้นจะมีครูประจำชั้น จะมีครูของเรา เขาจะไปสืบได้ไง ไปสืบได้ว่าเนี่ย เนี่ย นักเรียนคนนี้เวลาเรียนอยู่น่ะมีนิสัยยังไง สมุดประจำตัวน่ะ พฤติกรรมมันเป็นอย่างใด เห็นมั้ยมันสืบสภาพได้...”
พระอาจารย์สงบซัดตรงๆ ว่า คำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์เรื่องดูจิตนั้นเป็นนมผสมเมลามีน เป็นอาหารผสมสารพิษ
“...สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึก สติเป็นเอง เผลอปั๊บสติมาเอง นี่ไง มันผิดตั้งแต่เริ่มต้น...”
ท่านว่าการชี้ว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ค่อยได้ ฉะนั้นให้ดูจิตเพื่อใช้ปัญญาตัดไปเลยนั้น ขอถามว่าเป็นปัญญาชนิดไหน พระอาจารย์สงบยืนยันว่า ไม่ว่าคนเมืองหรือคนบ้านนอกก็คนเหมือนกัน ทำสมาธิได้เหมือนกัน แต่การสอนให้ดูจิตโดยใช้ปัญญาตัดแบบนั้นมันเพลินและสบาย เลยถูกกิเลสคนเมืองที่กินแกลบเพราะปฏิบัติแล้วสบาย เมื่อก่อนกำหนดอะไรก็ทุกข์ลำบากไปหมดเลย พอไปดูเฉยๆ มันสบาย
ท่านเทียบว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ต้องทำสมาธิ เริ่มจากสมถะเป็นลำดับไป ทำไปแล้วแม้ลำบาก แต่ในที่สุดก็จะได้ข้าวกิน แต่ปฏิบัติแบบสบาย ลัดวงจรแบบนี้ผิด จะได้แต่แกลบ ไม่ได้ข้าวมากิน
ที่สอนว่าถ้าเจตนาการจงใจทำสมาธิผิดต้องไม่เจตนานั้น ก็มีคำถามว่าตอนพระพุทธองค์ปูหญ้าคาแล้วตั้งใจว่า เราไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เราจะไม่ลุกจากที่นั่งก็เป็นกิเลสสิ พระพุทธเจ้าก็ผิดตั้งแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติเลยสิ
การไล่ลูกระนาดของพระอาจารย์สงบนั้นมีหลายลูก หลายดอก ละเอียดไปกระทั่งเรื่องของการเกิดดับของจิต ดวงนี้ดับแล้วเห็นดวงนั้น มันจะเห็นได้อย่างไร จิตมันเป็นดวงๆ ที่ไหน ฯลฯ
ใครไม่เคยปฏิบัติภาวนาก็คงได้แต่แหงนตาดูศึกอภิมหายุทธ์ที่ฟาดฟันกันแบบให้รู้ดำรู้แดง
ประเด็นเหล่านี้ยังไม่ขึ้นโต๊ะสาธารณะ เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสำนักนะจ๊ะมาแล้ว ในประเด็นนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแต่พระอาจารย์สงบเท่านั้น หากแต่ในหมู่นักภาวนามีการนำประเด็นเหล่านี้ไปสอบถามครูบาอาจารย์ให้รูปเสียงสะท้อนกลับมาเป็นไปในทางสนับสนุนพระอาจารย์สงบ
อาจจะเพราะเหตุนี้ “บ้านอารีย์” ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นกองหน้าในการเผยแผ่แนวคำสอนของพระปราโมทย์ มีห้องสมุดบริการผู้สนใจ แจกซีดี หนังสือคำสอนฟรี จึงระงับการนิมนต์พระปราโมทย์ในวันที่ 5 ม.ค. 2553
ไม่เพียงเท่านั้น สำนักพุทธธรรมป่าละอู ของพระอาจารย์มนตรี อาภัสสะโร ศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งพระปราโมทย์เคย|นับว่าเป็นศิษย์พี่ ประกาศตัดสัมพันธ์ให้สาธารณะทราบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
“ช่วยไปบอกท่านปราโมทย์ด้วยนะว่า ต่อไปอย่ากล่าวถึงอาตมาอีก เพราะอาตมาไม่ได้คุ้นเคยกับท่านอย่างนั้น”
นั่นเป็นคำกล่าวของพระอาจารย์มนตรี ฝากผ่านศิษย์ไปยังพระปราโมทย์
ทำให้หลายคนจับตาไปมองที่พระปราโมทย์ด้วยความคลางแคลงใจ เนื่องจากในหลายต่อหลายครั้ง พระปราโมทย์มักเอ่ยปากถึงความเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์) ความสัมพันธ์ฉันศิษย์พี่ศิษย์น้องที่แนบแน่น และพยายามสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า สำนักพุทธธรรมป่าละอู กับสำนักสันติธรรม มีความสัมพันธ์ดังวัดพี่วัดน้องตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในรูปของคําพูดและข้อเขียน
นั่นทำให้พระปราโมทย์เก็บตัวเงียบอยู่หลายเดือน
ระหว่างนั้นได้เดินทางไปสอบทานกับครูบาอาจารย์บางรูปซึ่งเป็นนักปฏิบัติที่เชื่อในคุณธรรมได้ว่า การปฏิบัติของตนเองมีปัญหาจริงหรือไม่
พระปราโมทย์กลับมาเปิดตัวอีกครั้งเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยเริ่มที่ศาลาลุงชิน แหล่งทำบุญอีกแห่งของคนเมืองรุ่นใหม่ แต่ต้องเผชิญสึนามิลูกใหญ่กว่าเดิม
ทำไมพระปราโมทย์ต้องไปสอบทานการปฏิบัติของตนเองกับพ่อแม่ครูอาจารย์บางรูป ไม่แน่ใจหรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเหตุการณ์นี้คือ นี่คือโอกาสในการชำระแนวทางคำสอนของสายพระป่าอย่างหนึ่ง
เพียงแต่...ประเด็นหลักของเรื่องนี้ยังไม่ถูกนำมาขึ้นโต๊ะ!