ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์+เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ์ เพื่อนสนิทคู่ซี้ธุรกิจ
ประสบความสำเร็จอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี แถมยังมีคิวงานพิธีกรแน่นแทบทุกวัน
เรื่อง : ภาดนุ
ประสบความสำเร็จอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี แถมยังมีคิวงานพิธีกรแน่นแทบทุกวัน ล่าสุดสาวอารมณ์ดี “อ้น” ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์ ได้แท็กทีมกับเพื่อนสนิท “เอกกี้” เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ์ ทุบกระปุกเปิดตัวธุรกิจใหม่ล่าสุด ร่วมกับนักธุรกิจสาวมากความสามารถ ปนันชิตา แก่นจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปนันชิตา
เมื่อมีโอกาสได้เจอกับอ้นและเอกกี้ เราจึงรีบคว้าตัวเพื่อนซี้คู่นี้มาพูดคุย พร้อมทั้งไขเคล็ดลับในการทำธุรกิจแบบคนอารมณ์ดีซะเลย
เอกกี้ : “เอกกับอ้นมีโอกาสได้ไปทำงานร่วมกับแบรนด์ปนันชิตา (Pananchita) เราสองคนรับหน้าที่เป็นพิธีกร เลยมีโอกาสได้เห็นการเปิดตัวแบรนด์อย่างอลังการงานสร้าง พอเราได้พูดคุยกับคุณหน่อย-ปนันชิตา
แก่นจันทร์ เจ้าของแบรนด์ ก็พบว่า คุณหน่อยมีอะไรหลายอย่างคล้ายกับเราสองคน นิสัยตรงๆ รวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ”
อ้น : “พอได้ร่วมงานกันครั้งแรก หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ร่วมงานกันมาเรื่อยๆ จนเริ่มสนิทกัน พูดคุยกันบ่อยขึ้น จนทางคุณหน่อยเริ่มมีการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ไปทางฝั่งของคอสเมติก ซึ่งในตอนแรกแบรนด์ปนันชิตา
จะมีแต่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของอาหารเสริมเสียส่วนใหญ่ พอเรา 3 คนเริ่มสนิทกัน คุณหน่อยจึงได้ชักชวนให้เราร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ ด้วยความที่มีอะไรคล้ายกัน คุยกันถูกคอ เราสองคนเลยตกลงทำธุรกิจร่วมกับแบรนด์ค่ะ”
เอกกี้ : “ผลิตภัณฑ์ที่เราร่วมกันทำก็คือ ฟลอว์เลส ซันสกีน ยูวี โปรเทคชั่น และฟลอว์เลส ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์ ซึ่งถือเป็น 2 ผลิตภัณฑ์แรกของแบรนด์ในกลุ่มคอสเมติก จะมีทั้งครีมกันแดดและแป้งผสมรองพื้น มี 2 เบอร์ด้วยกันคือ เบอร์ 01 และ 02 ที่เลือกครีมกันแดดและแป้งผสมรองพื้นเพราะใช้งานง่าย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถใช้ได้หมด”
อ้น : “อย่างที่เอกกี้บอกว่า ใครๆ ก็สามารถใช้ได้ ตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงสาวออฟฟิศ หรือวัยทำงานก็สามารถใช้ได้หมด เราสองคนเคยนำไปให้ช่างแต่งหน้าที่รู้จักลองใช้ดู เขาก็บอกว่ามันเป็นแป้งที่ใช้ง่าย สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั่วไปเลย”
+ ก่อนที่เพื่อนซี้คู่นี้จะมาร่วมหุ้นกันทำธุรกิจ ทั้งสองคนเคยทำธุรกิจส่วนตัวมาก่อนหรือไม่ ไปฟังคำตอบน่ารักๆ จากทั้งคู่
เอกกี้ : “ก่อนหน้าโน้นก็เคยทำธุรกิจมาก่อนนะ เคยมีธุรกิจของตัวเองอย่างหนึ่ง”
อ้น : “อ้นไม่เคยทำเลยค่ะ คืออ้นไม่ชอบทำธุรกิจที่มันเรียกว่าธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ที่เราต้องมานั่งโฟกัสเรื่องของการลงทุน หรืออะไรที่มันซับซ้อน เข้าใจยาก อ้นไม่ชอบเลย เอกกี้จะรู้ว่ามันเป็นนิสัยอ้นเลย แต่กับคุณหน่อยเรียกว่าเป็นธุรกิจที่ใช้ใจคุยกันมากกว่า ทุกอย่างมันดูง่ายมาก เราคุยกันตรงๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เราเลยอยากทำธุรกิจนี้ร่วมกับเขา”
เอกกี้ : “ถ้าพูดถึงการแบ่งหน้าที่การทำงาน เราก็เป็นสไตล์เราเลย ส่วนคุณหน่อยก็เป็นสไตล์ของเขา ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง”
อ้น : “พูดง่ายๆ ว่าเรา 2 คนมีหน้าที่เป็นพีอาร์ ช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น เพราะเราใช้การโปรโมทอย่างบ้าคลั่ง (หัวเราะ) แบบที่ไม่เคยต้องมานั่งคิดว่าเราต้องโพสต์กี่ครั้ง แต่เราจะเป็นประเภทอยากลงโปรโมทตอนไหนก็ลงเลย (หัวเราะ) ไม่ต้องมานั่งคิดมาก เพราะเราทำงานกันแบบพี่น้อง ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องผลประโยชน์”
เอกกี้ : “ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามคนคิดแค่ว่า เราทำเพื่อตัวแทนทุกคน ต้องการทำให้พวกเขาขายของกันแบบง่ายๆ มากกว่า”
อ้น : “แบรนด์ก็เลยเลือกใช้การโปรโมทอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ตามสี่แยกไฟแดง รถเมล์ รถไฟฟ้า คุณก็จะเห็นหน้าอ้นกับเอกกี้ติดอยู่เต็มไปหมด (หัวเราะ)”
เอกกี้ : “ในส่วนของการตลาด แบรนด์จะมีผู้รับผิดชอบในด้านนี้อยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของการหาตัวแทน หรือการดูแลเครือข่าย แต่ในส่วนของเราสองคน เราก็จะลุยในเรื่องของการโปรโมทแบบเต็มที่ผ่านทุกช่องทางของเราสองคนที่มีอยู่”
อ้น : “ไม่ว่าจะเป็น อินสตาแกรมก็ดี หรือจะเป็นเฟซบุ๊กก็ดี ถือเป็นทุกช่องทางของเราเลยละ”
เอกกี้ : “ถ้าไฮไฟว์ยังมีอยู่ ฉันก็จะลงนะ” (หัวเราะ)
อ้น : “แม้กระทั่งเราสองคนไปที่ไหน เราก็มักจะคอยบอก คอยพูดเสมอ ถึงคุณสมบัติของครีมกันแดดและแป้งผสมรองพื้นของเรา เพราะจะมีคนถามถึงตลอดว่า แป้งเป็นยังไง ครีมกันแดดดีไหม เราจึงต้องคอยประชาสัมพันธ์ คอยพูดอยู่ตลอด ว่ามันดีอย่างไร แป้งเรามันอยู่ได้นาน ติดทนจริงๆ ทั้งกันน้ำ ทั้งกันแดด ครั้งเดียวจบ มีครบใน ฟลอว์เลส ฟินิชชิ่ง พาวเดอร์”
+ เท่าที่สังเกตดูทั้งสองคนคิวงานเยอะมาก แล้วแบบนี้มีวิธีการแบ่งเวลาอย่างไร ทั้งงานในวงการบันเทิง และการทำธุรกิจตรงนี้
เอกกี้ : “ทุกวินาทีของเรามีค่าหมด เราแทบจะไม่ต้องแบ่งเวลาอะไรเลย”
อ้น : “พอเราว่างตรงนี้ เราก็หาอะไรมาเสริมตรงนั้น เราจะไม่ปล่อยตัวเองให้ว่างเลย”
เอกกี้ : “การมาทำธุรกิจด้วยกันครั้งแรก อย่างที่บอก ทุกอย่างเรามีอะไร เราคุยกันตรงๆ ง่ายๆ สบายๆ อย่าเรียกว่าร่วมทำธุรกิจเลยดีกว่า คือทุกอย่างมันคือพี่น้อง มันคือครอบครัว ทุกอย่างมันเลยดูง่ายไปหมด”
อ้น : “ยิ่งคุณหน่อย ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เลย เพราะเราทำงานด้วยกันบ่อยอยู่แล้ว”
เอกกี้ : “ด้วยความที่คุณหน่อยเป็นคนใจใหญ่ และตรงๆ เหมือนเราสองคน อะไรที่เขาทำเพื่อตัวแทนได้ และทำให้ตัวแทนมีความสุข เขาก็จะลุยเลย ไม่มีมานั่งคิดเล็กคิดน้อย”
อ้น : “หรืออาจจะเป็นเพราะว่า มันอยู่ในจุดที่เราต้องทำเพื่อคนอื่นแล้วไง เราผ่านจุดที่ต้องทำเพื่อตัวเองมาแล้ว ฉะนั้นอะไรที่ทุ่มเทเพื่อตัวแทนได้ เราก็จะทำทุกอย่างเลย”
เอกกี้ : “โดยส่วนตัวแล้วทัศนคติในการทำงานประจำตัวของเราสองคนก็คือ ความจริงใจ”
อ้น : “ความมีวินัย และความซื่อสัตย์ วินัยคือเวลาเราทำงาน เราสองคนมักจะไปก่อนเวลาเสมอ น้อยครั้งมากที่เราจะไปพอดีเวลาเป๊ะ”
เอกกี้ : “เราสองคนนำคอนเซ็ปต์ในชีวิตจริงของเรามาใช้กับการทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำธุรกิจหรืออะไรก็ตาม ความจริงใจ ความมีวินัย และความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ทุกการกระทำ ถ้าเราปฏิบัติตัวตามนี้ เราจะเห็นผลลัพธ์ที่ตอบกลับมาหาเราในทางที่ดีเสมอ”
เอกกี้ : “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า การทำงานตรงนี้ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมาก”
อ้น : “ปัญหาไม่มีเลยนะ เพราะเวลาที่มันกำลังจะกลายเป็นปัญหา เราก็จัดการกับมันซะก่อน”
เอกกี้ : “หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่เคยมองว่ามันเป็นปัญหา ทุกอย่างสำหรับเราแก้ไขได้ มันเลยไม่เคยเกิดปัญหาขึ้นในการทำงานของพวกเรา เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย พอรู้สึกว่าจะเกิดปัญหา เราก็รีบคุยกัน และทุกอย่างก็จบลงก่อนจะเกิดปัญหาเสมอ”
เอกกี้ : “สำหรับการตอบรับ เท่าที่ทราบคือสินค้าออกมาเพียงแค่ 2 วันก็ขาดตลาดแล้ว รู้สึกดีใจมากที่ผลตอบรับดีขนาดนี้ เราจึงต้องมีการจัดงานเพื่อเป็นการขอบคุณตัวแทนทุกคน”
อ้น : “เรียกว่าเราจัดใหญ่เลย มีคอนเสิร์ตจากวงบอดี้สแลม และศิลปินวัยรุ่นหน้าใหม่ จีน่า ดี แถมยังแดนซ์กันต่อกับเพลงมันๆ ในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้จาก Trasher Bangkok ด้วย”
เอกกี้ : “อย่างที่บอกว่าหน้าที่ของเราสองคนคือการพีอาร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำคลิป การลงรูป เรียกว่าสร้างสีสันให้กับการโปรโมทซะมากกว่า ส่วนการวางแผนในเรื่องธุรกิจ เราก็จะให้ฝ่ายการตลาดเป็นคนจัดการไป”
อ้น : “เราไม่ได้มองว่าใครเป็นคู่แข่งเลย เราต้องแข่งกับตัวเองซะมากกว่า เพราะเรายังสนุกกับการทำงานตรงนี้
เอกกี้ : “อย่างคำว่า เปรี้ยง เราก็คิดขึ้นมาว่าคนอื่นอาจจะใช้คำว่า ปัง แต่เราขอใช้คำว่าเปรี้ยงดีกว่า จึงเกิดเป็นโปรเจกต์เปรี้ยงนี้ขึ้นมา”
อ้น : “พอเราได้มาทำธุรกิจเอง เราก็ไม่กล้าที่จะไปขอให้เพื่อนเราที่เป็นดาราหรือนักแสดงช่วยเราโปรโมทให้นะ แต่ถ้าคนอื่นมาขอความช่วยเหลือ เราเต็มใจ แต่พอมาเป็นธุรกิจของเราเองเรากลับไม่กล้า เพราะเราคิดว่าของมันดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เราก็โปรโมทของเราเองดีกว่า”
เอกกี้ : “ในอนาคตจะมีผลิตภัณฑ์ภายใต้การดูแลของอ้นและเอกกี้ออกมาอีกแน่นอน ยังไงก็ฝากติดตามด้วย”
+ เอาละ ลองไปฟังเพื่อนซี้คู่นี้ทิ้งท้ายถึงผลงานในวงการบันเทิง กิจกรรมในวันว่าง และการแบ่งเวลาพักผ่อนของพวกเขากัน
เอกกี้ : “ผลงานในตอนนี้ หลักๆ ก็จะมีงานพิธีกรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรายการทีวี หรือพิธีกรในงานอีเวนต์”
อ้น : “อ้นก็เหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นพิธีกร และอาจจะมีรับงานละครให้เห็นบ้าง”
เอกกี้ : “กิจกรรมยามว่างหลังจากทำงาน ส่วนใหญ่จะไปออกกำลังกาย คือเอกจะชอบตีเทนนิส แล้วก็มีลงแข่งบ้าง ในอนาคตก็วางแผนไว้ว่า อยากจะเป็นครูสอนเทนนิส เพราะรู้สึกว่าเราอยากทำในสิ่งที่เรารักและชอบ”
อ้น : “ในวันว่างอ้นจะออกกำลังกายเหมือนกัน แต่จะเป็นการเต้นซุมบ้า นอกจากนั้นก็จะเน้นเรื่องกิน” (หัวเราะ)
เอกกี้ : “สำหรับการไปเที่ยว เราก็จะล็อกคิวตัวเองไว้ล่วงหน้า โดยวางแผนเป็นปีๆ ก่อนจะไปเที่ยวที่ไหนสักที่”
อ้น : “อย่างปีที่แล้ว เรามีแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็วางแผนกันตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีที่แล้ว เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวในช่วงเดือน ม.ค.ของปีนี้ คือเราต้องแบ่งเวลาให้กับตัวเองบ้าง ถ้าทำงานอย่างเดียวคงไม่ไหว เพราะคนเราต้องหาเวลาไปพักผ่อนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน และสร้างความสุขให้กับตัวเองบ้าง”