"เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะสู้ได้" เปิดชีวิต 3 พี่น้อง ขายข้าวเกรียบ-พวงมาลัยเลี้ยงยายและน้อง
“ซัน-ชัชวาล สุธีพงษ์” เด็ก 15 กำพร้าพ่อ-แม่ ต้องอยู่กับยาย แต่ไม่ย่อท้อโชคชะตา สู้ร้อยพวงมาลัยและย่างข้าวเกรียบว่าวขายเลี้ยงดูตัวเอง
“ซัน-ชัชวาล สุธีพงษ์” เด็ก 15 กำพร้าพ่อ-แม่ ต้องอยู่กับยาย แต่ไม่ย่อท้อโชคชะตา สู้ร้อยพวงมาลัยและย่างข้าวเกรียบว่าวขายเลี้ยงดูตัวเอง
*****************************
โดย…รัชพล ธนศุทธิสกุล
“เด็กดีของผู้ปกครอง” อาจจะเป็นคำภาคภูมิสำหรับเฉพาะในครอบครัวแต่ละครอบครัว ทว่า “ซัน-ชัชวาล สุธีพงษ์” หนุ่มน้อยวัย 15 พี่ชายคนโตของครอบครัวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาดหญ้า ไม่เพียงทำเท่านั้น
ในทุกวันๆ หลังเลิกเรียนเขาและน้องๆ จะออกไปขายพวงมาลัยและข้าวเกรียบว่าวเพื่อจุนเจือครอบครัว บริเวณ 3 แยกอ.แก่งเสี้ยน จ.กาญจนบุรี
ระยะเวลากว่า 2 ปี 3 พี่น้องที่สู้ชีวิตโดยไม่น้อยใจโชคชะตา และที่สำคัญเขาภูมิใจมากๆ ที่ได้ทำมาหากินในอาชีพที่สุจริตและสังคมชื่นชมในความดีพร้อมกับมอบโอกาสให้กับพวกเขา
"ซัน- ชัชวาล สุธีพงษ์" "บาส-จตุรภัทร สุธีพงษ" และ "ก้อง-อดิศัย สุธีพงษ์"
ผมคือพี่คนโต
ชัชวาล สุธีพงษ์ หรือ ซัน เกิดและเติบโตที่ จ.ลพบุรี เริ่มความลำบากหลังพ่อผู้ประกอบอาชีพตั้งแผงขายของเล่นถูกโจรปล้นและทำร้ายจนเสียชีวิต หนูน้อยซันจึงเรียนรู้การช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่ชั้น ป.2 โดยการออกเป็นเป็นลูกมือช่วยน้าขายข้าวเกรียบว่าวข้างทางถนน และชีวิตคงจะดำเนินควบคู่กับการเล่นฟุตบอลที่ชอบและอาจจะเติบใหญ่กลายเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ หากเขาไม่ต้องสูญแม่ด้วยโรคมะเร็งไปอีกหนึ่งคน
“ย้ายมาอยู่ที่ อ.แก่งเสี้ยน จ.กาญจนบุรี ตอนป.6 ได้เกือบปี แม่ก็ป่วยเป็นมะเร็งเสียชีวิต ”
ชีวิตในวินาทีนั้น หนุ่มน้อยซันทั้งเคว้งและคว้างสุดที่จะบรรยาย แต่เขาไม่คิดจะท้อหรือน้อยใจในโชคชะตาเพราะคำพูดของแม่ที่ว่า “หนูเป็นพี่คนโต ต้องดูแลน้องๆ และยายด้วยนะลูก” ทำให้เด็กวัย 12 คนนี้ปาดน้ำตาให้พ้นดวงหน้าเก็บซ่อนความเสียใจอยู่ภายในใจและลุกขึ้นมาเป็นแกนหลักของครอบครัว
“ตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไร ยังเด็กจะทำอะไรได้ ผมเหลือยายคนเดียว ก็พยายามทำให้ดีที่สุดได้แต่ช่วยยายร้อยมาลัยส่ง”
นานวันเข้าน้องๆ ก็เติบโต ขณะที่ยายก็สุขภาพอ่อนแรงลงด้วยโรคต่างๆ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การรอยมาลัยส่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ซันจึงมองหางานเพิ่มที่จะช่วยจุนเจือบ้าน ทำให้หนุ่มน้อยก้าวขึ้นมาเป็นพ่อค้าพวงมาลัย 4 แยกพร้อมกับงัดวิชาข้าวเกรียบว่าวในอดีตออกมาทำขาย
“ตอนแรกไปขายที่ ต.ลาดหญ้า แต่ขายไม่ได้ก็เลยมาขายกับน้าที่สามแยกแก่งเสี้ยน แรกๆ ก็อายที่มาขาย แต่ผมไม่มีใครเลย ถ้าผมไม่ทำก็อยู่ไม่ได้”
เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกสู้ได้
“ถามว่ามีอย่างอื่นได้เงินกว่านี้ แต่ผิดกฎหมาย มันเสี่ยง ผมมีคนข้างหลังอีกเยอะ ผมก็ต้องเลือกสู้แบบนี้” หนุ่มน้อยกล่าวคติชีวิตที่แม้ต่อให้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะสู้ทำได้
พวงมาลัยและข้าวเกรียบของ ซัน,ก้องและบาส 3พี่น้องดำเนินกิจการมาได้ 2 ปีแล้ว โดยในวันธรรมดาจะพากันออกมาขายหลังเลิกเรียนตั้งแต่ช่วง 16.30 น.เป็นต้นไปจนถึง 1 ทุ่มเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากน้อยครั้งมากที่ขายข้าวเกรียบว่าว 100 ถุงหมด ขายพวงมาลัย 50 พวงเกลี้ยง ขณะที่ในวันเสาร์และอาทิตย์ทั้ง 3 จะออกมาขายตั้งแต่เช้าตรู่ 7 โมง เพื่อกับไปทำการบ้านในวันศุกร์ที่จะเยอะกว่าเป็นพิเศษ
“ขายเสร็จกลับบ้าน ผมกับน้องก็จะย่างข้าวเกรียบว่าวต่อเลย 4 ทุ่มกว่าๆ เสร็จถึงร้อยพวงมาลัย และทำการบ้าน 5 ทุ่มกว่าๆ อาบน้ำเข้านอนเตรียมไปโรงเรียน”
หนุ่มน้อยทั้ง 3 คนไม่มีใครปริปากบ่น ซันบอกว่าอาจจะเพราะได้พ่อกันมา ทำให้ต่างคนต่างมองตาก็รู้ใจถึงเหตุผลที่ต้องทำและไม่สามารถไปเล่นสนุกเหมือนเด็กๆ คนอื่นๆ
“ยายบอกเราเก่งเหมือนพ่อ แต่ก็มีบ้างที่ผมและน้องเดินหลับเข้าโรงเรียน แต่เราต้องอดทนเพราะว่าอยากจะเรียนสูงๆ จะได้มีชีวิตที่ดีและมีเงินทุนการศึกษาให้ก้องที่ตอนนี้ ม.1และบาส ป.6”
สู้ครับอย่าท้อ
ซันบอกว่า ดีใจที่ทุกคนชื่นชมในตัวเขาและน้องๆ ทุกครั้งที่เข้าไปอ่านเรื่องราวของตัวเองหนุ่มน้อยได้รับกำลังใจที่จะสู้ต่อ และก็อยากที่จะเป็นกำลังใจให้หลายๆ คนที่อาจเป็นเหมือนเขาหรือแย่กว่าเขานั้นให้ สู้และอย่าท้อกับโชคชะตา
“เฉลี่ยต่อวันได้เงินทั้งหมดที่ขายประมาณ 500 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมก็ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลืออุดหนุน เพื่อนๆ ก็ชม ครูก็ชมให้เอาเป็นแบบอย่าง และยกเว้นค่าเทอมเรา ผมก็ดีใจครับ อยากให้สู้ครับ อย่าท้อครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
ซันกล่าวก่อนจะเดินนำน้องๆ ออกขายข้าวเกรียบว่าวและพวงมาลัยออกจากเพิงพังและใช้วางของที่เช่าในราคา 2,000 บาท โดยซันเองจะคอยดูสัญญาณไฟจราจรแดงให้รถจอดสนิทดีเสียก่อน เพราะทั้งก้องและบาสยังตัวเล็กรถที่วิ่งอาจจะมองไม่ค่อยเห็น
“สู้ครับ อย่าท้อ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกสู้ได้” เด็กหนุ่มหันมาย้ำอีกครั้ง
และนี่ก็คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ชื่อซัน (SUN) ที่มีความหมายว่า ‘พระอาทิตย์’ ที่ส่องสว่างความอบอุ่น พระอาทิตย์ที่มีแต่ให้พลังงานก่อเกิดสรรพสิ่งบนโลกใบนี้