ยกคิ้ว ดึงหน้าผาก เผยวิธีใหม่! ไม่ต้องผ่าตัด!
โดย พญ.ลักขณา ถาวโรจน์
เป็นธรรมดาที่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวบริเวณโหนกคิ้ว, หน้าผาก, และขมับก็หย่อนคล้อยลง เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาคิ้วตก ริ้วรอยลึกบนหน้าผาก รอยตีนกา และมักมีอาการหนังตาตกร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุเหล่านี้เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้า ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เลิกหน้าผาก การยิ้ม หัวเราะ รวมถึงแสงแดดและวัยที่เพิ่มขึ้นที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวขาดความกระชับยืดหยุ่น
… การแก้ไขความหย่อนคล้อยของใบหน้าส่วนบน (Upper Face) ทำได้โดยการผ่าตัดซึ่งมี 3 วิธีที่ได้รับความนิยมได้แก่1. ผ่าตัดดึงหน้าผาก (Forehead Lift) วิธีนี้ช่วยยกคิ้วและลดรอยย่นบนหน้าผาก โดยทำการเลาะผิวหนังบริเวณไรผมจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง หรือตามแนวที่คาดผมนั่นเอง วิธีนี้สามารถเข้าไปตัดกล้ามเนื้อบริเวณหว่างคิ้ว จึงช่วยลดรอยขมวดคิ้วได้เป็นอย่างดี
2. ผ่าตัดดึงขมับ (Temporal Lift) เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นบนหน้าผากไม่มากนัก แต่มีรอยตีนกาลึก และคิ้วตก หรือระดับคิ้วอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น การผ่าตัดจะเลาะผิวหนังตรงไรผม 2 จุดบริเวณขมับซ้ายขวา
3. ผ่าตัดดึงคิ้ว (Direct brow Lift) เป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาคิ้วตกโดยตรง วิธีนี้จะผ่าตัดผิวหนังบริเวณเหนือคิ้วทั้ง 2 ข้าง จึงอาจมีรอยแผลเป็นที่เห็นชัด แต่จะช่วยยกคิ้วให้สูงขึ้นได้มากกว่าวิธีอื่นๆ อีกทั้งยังอาจช่วยให้หนังตายกสูงขึ้นได้เล็กน้อยอีกด้วย
แต่ในปัจจุบันการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่จำเป็นต้องทำโดยการศัลยกรรมเพียงอย่างเดียว เพราะมีเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิวได้โดยไม่เจ็บ ไม่พึ่งเข็ม และไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิวได้ทั่วทั้งใบหน้า! Power Lift เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญของผิวให้คงความกระชับยืดหยุ่น เทคโนโลยีนี้จะส่งผลให้ผิวแน่นตึง เกิดการเรียงตัวใหม่ของเส้นใยอีลาสติน และเกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ผิว บริเวณรอยย่นก็จะค่อยๆ เติมเต็มขึ้นเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำงานโดยการสร้างมวลความร้อนที่อุณหภูมิ 70100ฐC ยิงมาชนกันใต้ชั้นผิวลึก 35 มม. ความร้อนจะถูกส่งผ่านระบบสัมผัสเย็น (Cooling Contact) เพื่อปกป้องไม่ให้ผิวชั้นนอกระคายเคือง ขณะทำจะรู้สึกอุ่นๆ ที่ใต้ผิวและผิวอาจมีสีชมพูเล็กน้อยแต่จะจางไปใน 1 ชั่วโมง
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30 นาที/ครั้ง โดยแนะนำให้รักษาต่อเนื่อง 5 ครั้งขึ้นไป เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และหลังรักษาควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงเลี่ยงแดดจัดในช่วง 12 วันแรก ทั้งนี้เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องจนครบจำนวนครั้งที่กำหนด ความตึงกระชับก็สามารถคงอยู่ได้นานถึง 1 ปี หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล ซึ่งแม้ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ตึงเปรี๊ยะเหมือนการทำศัลยกรรมแต่ก็ให้ผลในระดับที่น่าพอใจ และเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวเข็ม ไม่มีเวลาพักฟื้น และต้องการลดความเสี่ยงจากการทำศัลยกรรมอีกด้วย