อาหารกับศิลปะ
มีคำพูดว่าอาหารคือศิลปะ อันนี้จริงอยู่เพราะไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะเอาอะไรต่อมิอะไรบรรเลงในหม้อในกระทะแล้วใช้ได้เลย
มีคำพูดว่าอาหารคือศิลปะ อันนี้จริงอยู่เพราะไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะเอาอะไรต่อมิอะไรบรรเลงในหม้อในกระทะแล้วใช้ได้เลย
เรื่อง / ภาพ สุธน สุขพิศิษฐ์
มีคำพูดว่าอาหารคือศิลปะ อันนี้จริงอยู่เพราะไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะเอาอะไรต่อมิอะไรบรรเลงในหม้อในกระทะแล้วใช้ได้เลย กว่าจะเสร็จเป็นแต่ละจานต้องไตร่ตรองคิดแล้วคิดอีก แค่เลือกว่าจะใส่กุ้ง หมู ปลา ไก่อะไรดีก็เป็นเรื่องแล้ว จะใส่ผักอย่างไหน แค่ไหน เผ็ด เค็ม เปรี้ยว หวาน จะเอาอะไรมาเป็นตัวนำชูรส พอรสดีแล้ว ก่อนเอามาประเคนยังจัดจานให้น่ากินหน่อย แล้วต้องยกออกมากินทันที ให้ยังมีกลิ่นควันหอมหวนโชยชวนน่ากิน พอกินแล้วอร่อยถูกใจ สมบูรณ์ครบถ้วนก็นี่แหละที่เป็นศิลปะของการทำอาหาร หรืออาหารก็เป็นศิลปะแขนงอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับผมนั้นออกจะแหกคอกสักหน่อย ชอบกินแล้วยังไปชอบต้นตอที่ทำให้เกิดเป็นอาหารขึ้นมาหรือต้นตอศิลปะในรูปอาหารหรือจะเรียกว่าเป็นเนื้องานของศิลปะก็ว่าได้ ต้นตอที่ว่านี้เป็นของใช้หรือพูดง่ายๆ เครื่องครัวนั่นเอง ผมรักครก ผมหลงใหลกลิ่นครก ยิ่งครกเก่าๆ ใช้มาตั้งแต่รุ่นยาย รุ่นแม่แล้ว ลุ่มหลงเอาจริงๆ กลิ่นของครกแต่ละใบนั้นมีทั้งกลิ่นของพริก หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด ขมิ้น ยี่หร่า เม็ดผักชี ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ จะอยู่ในนั้นทั้งนั้น ผมเปรียบครกเหมือนผ้าใบ แล้วพวกพริก หอม กระเทียม ทุกอย่างที่ว่านั้นก็เหมือนสีต่างๆ มีทุกสี ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีความพอดี
แล้วครกยังเหมือนกับเป็นสิ่งรับอารมณ์ของคนทำอาหารหรือศิลปินอีกด้วยบางวันก็จะถูกกระแทกกระทั้นตำระรัวดุเดือด บางครั้งก็จะนุ่มนวลเสียงป๋องแป๋ง กุ๊งกิ๊ง นี่เป็นครก พอมองดูครกซึ่งเป็นวัตถุแข็งๆ อันหนึ่งให้ลึกเข้าไป จะพบความเป็นบ่อเกิดแล้วยังมีอารมณ์ต่างๆ แฝงอยู่ในนั้น ผมมองว่านี่คือตัวสื่อความหมายของศิลปะชิ้นหนึ่ง
แล้วยังมีเขียงอีก เขียงไม้เก่านั่นก็เหมือนกัน รอยที่ถูกมีดบั่นลึกบ้างตื้นบ้างนั้น เหมือนฝีแปรงของพู่กัน แต่เป็นฝีแปรงที่เสียดสี เนื้อ ผัก ผลไม้มาไม่รู้เท่าไหร่ อาจจะมีรอยที่เคยเฉือนนิ้วคนมาบ้างด้วย กลิ่นก็เหมือนกันมีทุกกลิ่น ทั้งรอยลึกและกลิ่นเขียงก็เป็นศิลปะที่แอบแฝงอีกชิ้นหนึ่ง
มีอีกหลายอย่างครับ ทั้งมีด กระทะ หม้อ ทุกอย่างมีวิญญาณที่ทำให้เกิดศิลปะของอาหารขึ้นมาทั้งนั้น นี่ไม่ใช่เลื่อนลอยเพ้อเจ้อสำหรับการมองวัตถุบางอย่างให้เป็นเรื่องของศิลปะ
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีนักศิลปะมองศิลปะให้มีกลิ่นได้ เห็นรูปเขียน ยังลึกไปถึงมีกลิ่นสี และกลิ่นกาว แป้ง ได้นั่นไงครับ
ไหนๆ ครั้งนี้จะเป็นเรื่องอาหารกับศิลปะ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าอาหารนั้นทุกคนย่อมสัมผัสโดยตรง ต้องกิน รู้คุณค่าของอาหารที่เป็นศิลปะ แต่สำหรับศิลปะตรงๆ นั้นอาจจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้ามองศิลปะแบบเข้าใจหรือจับต้องกับงานศิลปะแล้ว จะเป็นเรื่องบันเทิงใจแบบแนบแน่น ยิ่งดูยิ่งพบสิ่งที่เล่าเรื่องต่างๆ ในศิลปะ
ศิลปะนั้นมีหลายอย่างทั้งประติมากรรม จิตรกรรม ในส่วนของจิตรกรรมยังแยกสาขาออกเป็นงานสีน้ำมัน สีน้ำ และภาพพิมพ์ ผมจะเว้นงานสีน้ำมันและภาพพิมพ์ เอาเฉพาะสีน้ำที่ผมว่าเป็นงานที่ยากมาก จึงไม่ค่อยแปลกใจว่า ศิลปินที่เขียนสีน้ำเยี่ยมๆ ในเมืองไทยจึงมีน้อย แทบจะนับคนได้ ในเมื่อเป็นเรื่องยากก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมือใหม่ โดยเฉพาะเหล่าแม่บ้าน คุณหญิง คุณนาย ข้าราชการสตรีที่เกษียณ หรือนักการเมืองสตรีที่ถูกดองไม่ให้ยุ่งการเมือง จึงอยากจะเขียนสีน้ำกันนักหนา อาจจะเห็นว่าเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น กระดาษ พู่กัน สี แล้วใช้แค่น้ำ เป็นของถูกๆ ความจริงแล้วแพงเอาเรื่อง เพราะเวลาเขียนเจ๊งขึ้นมา กระดาษกับสีก็กู้ไม่ได้ เสียแล้วต้องทิ้งอย่างเดียว ทิ้งชนิดที่ไม่ยอมให้ใครเห็นด้วยซ้ำไป น่าจะเขียนสีน้ำมันดีกว่าสบายกว่ากันเยอะเลย
สีน้ำที่ว่ายากนั้น เพราะการถ่ายทอดสิ่งที่เห็นด้วยตาผ่านน้ำกับสีนั้นไม่ง่าย ตาที่เห็นนั้นจะเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิมไปหมด แล้วจะเขียนออกมาตามที่เห็นไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าเห็นสิ่งที่ยากๆ แล้วเขียนออกมาให้ง่ายๆ แต่ในความง่ายนั้นกลับมีรายละเอียดเยอะแยะ
ยกตัวอย่าง รูปถนนกับตึกซึ่งผ่านฝนตกไปหยกๆ รูปตึกที่มีเงาไปสะท้อนอยู่ในน้ำขังอยู่บนถนน ถ้าเงามันบางๆ จางๆ เบลอๆ นั่นจะบอกถึงไอฝนเพิ่งผ่านไปหมาดๆ แต่ถ้าเงาสะท้อนแบบตึกใสแจ๋วหมายถึงฟ้าโปร่งอากาศแจ่มแจ๋วแล้ว หรือภูเขาไกลที่มีเมฆลอยเกาะฉาบอยู่ยอดเขา มันจูงใจจูงอารมณ์ให้ฉ่ำเย็นเยือกมาทันที
รูปสีน้ำแบบนี้ไม่ได้เก็บรายละเอียดเลย แค่ไม่กี่แต้มเท่านั้น แต่มองแล้วจะรู้สึกไปถึงบรรยากาศได้เลย แล้วที่เขียนออกมาก็มีแค่สีกับน้ำเท่านั้น แต่กว่าจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องชำนาญมีเทคนิค ที่เขาเรียกว่าเขียนสีเปียกๆ บนพื้นกระดาษที่เปียก หรือที่เรียกว่าเปียกบนเปียก แล้วยังมีสีบนพื้นเปียกอีก ซึ่งต้องคุมน้ำหนักการลื่นไหลของสี ใช้สีคุมความลึกใกล้ไกล ยังมีอื่นๆ อีกครับ ผมถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องยาก ขนาดมือโปรยังทิ้งไปเยอะต่อเยอะแล้ว
ไหนมาเป็นเรื่องศิลปะ มาถึงตอนนี้แล้ว ผมเชิญชวนดูงานใหญ่ในตอนสิ้นปีครับ ที่หัวหินจะมีงาน Art Arbour ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2553 ถึงวันที่ 4 ม.ค. 2554 ที่หมู่บ้านศิลปินของทวี เกษางาม ที่อยู่จากแยกตลาดฉัตรชัยขึ้นไปทางป่าละอู ไปแค่ 23 กิโลเมตร เลยหมู่บ้านช้างนิดเดียว
บริเวณบ้านศิลปินที่เป็นที่จัดงานนั้นเหมือนสวนศิลปะ ที่เป็นสวนเพราะมีต้นไม้ร่มรื่นและมีศิลปะจัดตั้งอยู่รอบๆ เป็นงานที่รวบรวมผลงานของศิลปินหัวหินเกือบทั้งหมด บริเวณสวนก็มีซุ้มงานแสดงศิลปะและมีสนามประลองศิลปะสำหรับเด็กๆ เด็กๆ อยากเขียนรูปอะไรก็บรรเลงกันให้สนุกเต็มที่ มีพี่ๆ น้าๆ ช่วย แล้วยังมีซุ้มอาหาร เครื่องดื่ม อันนี้ไม่ฟรีครับ แล้วบางเวลายังมีดนตรีแสดงสดมันๆ อีกด้วย
ส่วนที่เป็นซุ้มงานศิลปะนั้นมีความหลากหลายมาก ใครชอบแบบไหนก็เลือกซื้อหาเอาเป็นโอกาสแรก โอกาสที่สองคือ ราคาถูก ถูกกว่าที่อยู่ในแกลเลอรีเยอะครับ โอกาสที่สามในวันจัดงานนั้นก็คาบเกี่ยวกับปีใหม่ มีหลายครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนหัวหินอยู่แล้ว ก็พาครอบครัว เด็กๆ ไปดู ไปเขียนรูป ซึมซับศิลปะเสียหนึ่งวันก็จะได้ประโยชน์มหาศาล
นั่นเป็นสวนศิลปะ แต่สำหรับด้านบนหรือที่เป็นสตูดิโอของศิลปินนั้น ก็ยังมีงานศิลปะแสดงอันเป็นงานที่คัดเลือกแล้ว งานนี้ผมเชิญชวนให้กับทวี เกษางาม ครับ ถ้าไปไม่ถูกถามทางได้ที่ 032534830
ส่วนผมเองก็เอางานไปร่วมแจมด้วยหลายชิ้น ตามตัวอย่างเล็กๆ ที่ลงให้เห็นนี้ด้วย รูปอาจจะออกเป็นฝรั่งๆ หน่อย เขียนนานแล้วตอนที่อยู่ที่ New Zealand ที่ออกเป็นฝรั่ง เพราะวิวก็เป็นเมืองฝรั่ง แถมครูสอนยังเป็นฝรั่งอีก แล้วเจอกันที่นั่นครับ