ชวนเพื่อนไปฟิน และเช็คอิน ที่ ลัตเวีย-ลิทัวเนีย ความงามแถบทะเลบอลติก
พาชมความงาม 2 ประเทศแถบมหาสมุทรบอลติก ลัตเวีย และ ลิทัวเนีย เมืองเก่าสุดคลาสิก ที่เรียกว่าเป็น “ปารีสน้อยแห่งยุโรปเหนือ” สถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายทางประวัติศาสตร์ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ ที่ถูกล้อมเข้ากับยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว
หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว เราพาไปท่องเที่ยวประเทศเอสโตเนีย ตอนนี้เราจะพาเดินทางสู่ 2 ประเทศเล็กๆ ในแถบมหาสมุทรบอลติกอีกครั้ง นั่นคือ “ลัตเวีย” และ “ลิทัวเนีย” ที่ถือว่าเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องกัน เพราะทั้ง ลัตเวีย ลิทัวเนีย รวมไปถึงเอสโตเนีย มีอาณาเขตติดต่อกัน ซึ่งในอดีตเคยอยู่ภายใต้การปกครองทั้งของเยอรมนี และรัสเซีย แต่หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ทั้ง 3 ประเทศ จึงได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระ
มารู้จัก สาธารณรัฐลัตเวีย(Latvia) ประเทศนี้ อยู่ทางยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา อุตสาหกรรม มีประชากรที่มีเสรีภาพในการดำรงชีวิตสูง รวมเป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางด้านสื่อสาร การแสดงออกทางการเมือง แม้ลัตเวียจะเป็นประเทศที่ถือได้ว่า คนไทยรู้จักไม่มาก แต่รู้มั้ยว่า ไทยกับลัตเวีย ได้มีประกาศความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 หรือกว่า 30 ปีมาแล้ว
ด้านภูมิอากาศ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 5.9 องศา ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นจัด เนื่องจากมีลมจากทะเลพัดผ่านตลอดปี จึงทำให้บางปีมีอากาศเย็นจนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ - 4.7 องศาเซลเซียส
เริ่มเดินทาง สู่เมืองริก้า(Riga) เมืองหลวงของลัตเวีย มีระยะทางห่างจากเอสโตเนียประมาณ 180 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ได้เช็คอินกับประเทศได้ชื่อว่าเป็น “ลิตเติ้ลปารีส” แล้ว
เมืองริก้า ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเดากาวา ถือเป็นเมืองใหญ่ในกลุ่มรัฐบอลติก และเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศแถบนี้ มีพื้นที่ 64,589 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าเมืองไทย 8 เท่า มีประชากรราว 7 แสนคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศกว่า 1.9 ล้านคน ชาวลัตเวียอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์บอลต์ และพูดภาษาลัตเวีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสองภาษาบอลติกที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ทางวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ เป็นศูนย์กลางของผู้คน ที่เรียกได้ว่า “Paris of the North”
ไกด์เล่าว่า ลัตเวีย ถูกระบุว่า เป็นประเทศที่ “ขาดแคลนผู้ชายที่สุดในโลก” ว่ากันว่า มีอัตราส่วน 10:1 หรือมีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จึงทำให้เห็นผู้หญิงประเทศนี้ทำงานหนักทุกอย่างไม่แพ้ผู้ชาย ทำเกือบทุกอาชีพที่ผู้ชายทำได้ ตั้งแต่ขายสินค้า ส่งสินค้า ไปจนถึงพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่ผู้หญิงลัตเวีย ก็ได้ขื้นชื่อว่า สวย และมีรูปร่างสูงมาก จนได้รับการยอมรับให้ไปเฉิดฉายบนแคทวอล์คระดับโลกจำนวนมาก
อย่างเช่น ไกด์ในทริปลัตเวียของเราครั้งนี้ ก็เป็นหญิงวัย “กว่า 60 ปี!” มีชื่อว่า โอก้า(Oca) แม้เธอจะมาพร้อมกับไม้เท้าช่วยเดิน แต่เธอก็ทำให้ลูกทัวร์ถึงกับประหลาดใจในความแข็งแรงด้วยเช่นกัน
ชมบรรยากาศ เมืองเก่า ริก้า (The Riga Old Town) เป็นศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมอาร์ทนูโวที่สำคัญของที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.1977
บ้านนายหัวดำ (The House of Blackheads) แลนด์มาร์คสำคัญของเมือง เป็นจุดศูนย์กลางเมืองเก่า ที่สร้างมา เพื่อไว้รวมตัวสังสรรค์ของนักเดินทางต่างชาติ และเหล่าพ่อค้าที่ยังไม่ได้แต่งงาน ปัจจุบันถูกปิดไว้ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ
ตลอดการเดินทางในเมืองนี้ เราพบกับฝนตกเกือบตลอดทั้งวัน แม้มีปริมาณไม่มากนัก แต่เมื่อมีลมพัดมาก็ทำให้หนาวเหน็บไม่น้อย หลังจากไปเก็บของในห้องพัก ก็ได้ออกเดินทางไปร้านอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จึงใช้เวลานี้ชื่นชมวิว และซึมซับบรรยากาศตลอด 2 ข้างทาง
ชมโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s Church) โบสถ์สำคัญ และสวยงามที่สุดในเมืองริก้า สร้างขึ้นจากหิน ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่13 เคยเป็นที่สำหรับจัดประชุมของเหล่าพ่อค้า แต่แล้วถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาพที่เห็นในปัจจุบัน คือ ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยชาวเมืองในปี ค.ศ.1973 ตรงนี้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นลิฟท์โดยสาร ขึ้นสู่ยอดโบสถ์เพื่อชมวิวเมืองแบบพาโนราม่า 360 องศาได้ด้วย
วิหารโดม(Dome Cathedral) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในแถบบอลติก เป็นแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างศิลปะรูปแบบบาโรก กอธิค และโรแมนซ์ได้อย่างอย่างลงตัว สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1211 โดยบาทหลวง Biskaps Alberts ด้านในบรรจุออร์แกนซี่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป โบสถ์แห่งนี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวได้ และเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกจากร้านค้าท้องถิ่นได้จากที่นี่ หรือจะเลือกจิบกาแฟอุ่นๆ ชมวิวก็ได้เช่นกัน
เดินทางเข้าวัง ณ เมืองฟิลส์รันดาเล(Pilsrundale) เพื่อชมไฮไลท์สำคัญ พระราชวังรุนดาเล( Rundale Palace) เราใช้เวลากับที่นี่มากหน่อย เพราะเป็นสถานที่สุดอลังการ หนึ่งในพระราชวังเก่าแก่ที่สุดในลัตเวีย ซึ่งเป็นที่พักของดยุคแห่งคอร์ทแลนด์(Dukes of Courland) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1214 โดยอาร์คบิช็อปแห่งริก้าเป็นปราสาทก่ออิฐแบบโกธิค ตามสไตล์บอลติกโบราณ บริเวณภายในกว้างขวางใหญ่โต รายล้อมด้วยสวนสวยงาม และแนวป้อมปราการ วิจิตรงดงามไม่แพ้ที่ใดในยุโรป สมกับที่ได้รับการยกให้เป็นสุดยอดของการออกแบบสถาปัตยกรรม ที่เป็นการประยุกต์ของสองวัฒนธรรมระหว่างเยอรัม และรัสเซียได้อย่างลงตัวที่สุดในทวีปยุโรป
ซึ่งในปี ค.ศ.1776 ประสาทแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุไฟไหม้ จึงมีการสร้างต่อเติม และบูรณะหลายสมัย ปัจจุบันเปิดเป็นพิธิภัณฑ์ ให้นักท่องเที่ยวโลกได้ชื่นชม
บอกลา ลัตเวีย มุ่งตรงสู่ สาธารณรัฐลิทัวเนีย เมืองวิลนิอุส(Vilnius) เป็นเมืองหลวง ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกของทะเลบอลติก มีอาณาเขตติดกับลัตเวียทางทิศเหนือ ติดต่อกับเบลารุสทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ติดต่อกับโปแลนด์ทางทิศใต้ และติดต่อกับแคว้นคาลินินกราดของรัสเซียทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเนื้อที่ 65,300 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน
ลิทัวเนียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีระบบเศรษฐกิจก้าวหน้ารายได้สูง และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในระดับสูงมาก ได้รับการจัดอันดับที่ดีในด้านเสรีภาพพลเมือง เสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต
ชมบรรยากาศยามค่ำคืน มีตึกอาคารเก่าแก่งดงามแบบย้อนยุคไปในช่วงศตวรรษที่ 15-16 ที่นี่เราจะเห็นผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาว และมีฝนตก ตลอดทั้งคืน
ถนนคนเดิน Pilies ถนนคนเดินแบบฉบับยุโรป แน่นอนย่อมไม่เหมือนถนนคนเดินบ้านเรา เพราะเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร โรงแรม สไตล์ยุโรป อยู่ภายในอาคาร มีร้านขายของที่ระลึกให้ช้อปปิ้งติดไม้ติดมือเป็นระยะ หากเที่ยวเมืองแถบบอลติก ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะซื้ออำพันกลับไปของฝาก แต่บอกไว้ก่อนว่า ร้านค้าที่นี่ในช่วงฤดูหนาวจะเปิดให้บริการเพียง 18.00 น. เท่านั้น
เช้าวันใหม่เดินทางสู่ เมืองทราไก(Trakai) เมืองเก่าของลิทัวเนีย ก่อนเมืองวิลนีอุส ถึงแม้จะมีพื้นที่เพียง 400 ตารางกิโลเมตร แต่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาต มีทะเลสาบมากถึง 200 แห่ง
มุ่งหน้า ชมปราสาททราไกร (Trakia Island Castle) เมืองอัศวิน ปราสาทที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลสาบ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดยแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย ตัวปราสาทสร้างขึ้นด้วยอิฐสีส้ม น่าค้นหา ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี มีสะพานไม้เป็นตัวเชื่อมกับชายฝั่งไว้เพื่อให้เดินข้ามไปได้ ระหว่างทางมีลมหนาวพัดแรง และมีนกน้ำคอยต้อนรับช่างสวยงาม
ภายในปราสาท เข้ามาแล้วให้ความรู้สึกผจญภัย ชวนค้นหา ภายในมีการจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ความเป็นมา ยังมีโบราณวัตถุต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ของใช้ อาวุธ และบัลลังก์ของกษัตริย์ และพระราชินี สมัยที่ทราไกยังเป็นเมืองหลวงของลิทัวเนีย ทริปนี้ต้องจึงยกให้ปราสาททราไกเป็นอีกหนึ่งในสถานทีท่องเที่ยวที่สุดคลาสสิกที่สุดในลิทัวเนียเลยทีเดียว
สุดท้ายถึงเวลาต้องบอกลา เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ดินแดนยุโรปเหนือ แห่งคาบสมุทรบอลติกแล้ว ด้วยประเทศเหล่านี้มีพื้นที่ขนาดเล็ก จึงทำให้มีข้อมูลท่องเที่ยวอยู่จำกัด และทำให้มีคนรู้จักไม่มากนัก แต่ก็บอกได้เลยว่า 3 ประเทศนี้ เต็มไปด้วยสีสันทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ทรงคุณค่า เหมือนสวรรค์ของคนรักการท่องเที่ยวแบบคลาสิก ใครที่ยังไม่เคยมา แนะนำให้ลองมาสัมผัสเสน่ห์แบบ “ลิตเติ้ลปารีส” สักครั้งจะติดใจ แต่ใครเคยไปเช็คอินมาแล้ว ก็สามารถมาแชร์ประสบการณ์ เล่าสู่กันฟังได้นะคะ....