“พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3” : 71 ปีบนเส้นทางยาวไกลสู่ราชบัลลังก์อังกฤษ
เรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้เกี่ยวกับ “คิงชาร์ลส์” จากเจ้าชายตัวน้อยสู่รัชทายาทราชบัลลังก์อังกฤษที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ กับ 71 ปีที่ผันผ่าน ก่อนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์
“พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3” พระนามเต็ม “ชาร์ลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ” เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเทศเครือจักรภพ เสด็จขึ้นครองราชย์หลังสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระมารดาเสด็จสวรรคตในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022
พระองค์ประสูติที่พระราชวังบักกิงแฮมเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) เวลา 21.14 น. โดยการผ่าตัดคลอด การประสูติของพระองค์ถือเป็นครั้งแรกของสมาชิกราชวงศ์ที่ไม่มีนักการเมืองอาวุโสเข้าร่วม (ก่อนหน้าต้องมี เพื่อให้แน่ใจว่าพระประสูติกาลจะเป็นลูกหลานที่แท้จริงของราชวงศ์ - นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 17)
ในพิธีล้างบาป ทารกน้อย อนาคตกษัตริย์อังกฤษ ถูกรดกายด้วยน้ำจากแม่น้ำจอร์แดน และในปี 2021 เมื่อเจ้าชายชาร์ลส์ (ในเวลานั้น) ไปเยี่ยมสถานที่ที่เชื่อกันว่า พระเยซูจะทำพิธีล้างบาปที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ เขาได้รับน้ำบรรจุในขวดเพื่อใช้ในพิธีล้างบาปในอนาคต
ตอนคิงชาร์ลส์อายุหนึ่งขวบ ราชินีและเจ้าชายฟิลิปใช้เวลาช่วงคริสต์มาสในมอลตา ซึ่งเจ้าชายฟิลิปประจำการอยู่ในกองทัพเรือ เจ้าชายน้อยอยู่กับปู่ย่าตายายที่แซนดริงแฮม พ่อและแม่พลาดก้าวแรกและฟันซี่แรกของพระองค์
คำพูดแรกของคิงชาร์ลส์คือคำว่า "นานา" ซึ่งหมายถึงเมเบล แอนเดอร์สัน พระพี่เลี้ยงในเวลานั้น
เจ็ดสิบเอ็ดปีที่แล้ว เมื่อปู่ของพระองค์เสียชีวิตและพระมารดาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี คิงชาร์ลส์กลายเป็นรัชทายาทเมื่ออายุได้ 3 ขวบ พระองค์ดำรงตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลา 70 ปี – ยาวนานกว่าใครๆ ในประวัติศาสตร์ และยังเป็นรัชทายาทที่พระชนมายุมากที่สุดที่สืบราชบัลลังก์บริเตนใหญ่คือ 74 พรรษา
ข้อมูลจากการ์เดียนพบว่า ในฐานะทายาทชาย คิงชาร์ลส์ได้รับเงินจำนวน 209,000 ปอนด์จากมรดก ยิ่งกว่านั้น พระองค์และพระราชินีก็ได้รับเงินมากกว่า 1 พันล้านปอนด์ จากดัชชีแห่งแลงคาสเตอร์และคอร์นวอลล์ ซึ่งบริหารพอร์ตที่ดินทั่วอังกฤษ
เมื่อวีรบุรุษอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) พบกับพระองค์ไม่นานก่อนวันเกิดครบสี่ขวบ เขาสังเกตเห็นว่า “พระองค์ยังเด็กเกินกว่าจะคิดมาก” ซึ่ง Catherine Peebles พระพี่เลี้ยงเคยกล่าวว่าพระองค์ "อ่อนไหวง่าย ขี้เหงา ขี้อายมากเกินไป และชอบกิจกรรมเงียบๆ เช่น อ่านหนังสือและวาดภาพ"
หลังจากพลัดพรากจากพระราชินีและพระบิดาเป็นเวลาหกเดือนในการเสด็จประพาสส่วนพระองค์ในปี 1954 เจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์ พระขนิษฐา ได้รับการต้อนรับจากพ่อแม่ด้วยการจับมือ (เรื่องนี้ยังเป็นสตอรี่ที่ถูกเล่าขานมาถึงทุกวันนี้)
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นว่าที่พระมหากษัตริย์ (ในอนาคต) พระองค์แรกที่ถูกส่งไปโรงเรียนแทนที่จะได้รับการศึกษาจากครูสอนพิเศษส่วนตัว พระองค์ถูกส่งตัวไปโรงเรียนกินนอน Cheam ตอนอายุ 8 ขวบ จากนั้นถูกส่งไปที่โรงเรียน Gordonstoun เมื่ออายุได้ 14 ปี
ที่ Gordonstoun เจ้าชายถูกเพื่อนนักเรียนเยาะเย้ย พระองค์เขียนจดหมายกลับบ้านว่า “ที่นี่เหมือนนรก โดยเฉพาะตอนกลางคืน … ผู้คนในหอพักของฉันสกปรก พวกเขาปารองเท้าแตะทั้งคืนหรือฟาดหมอนใส่ฉัน หรือวิ่งข้ามห้องมาตบฉันให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้…” มีรายงานว่าเขาเรียกโรงเรียนนี้ว่า "โทษจำคุก" และ "โคลดิตซ์ อิน คิลต์ส" (Colditz in kilts) ซึ่งหมายถึงค่ายเชลยสงครามของเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในปี 1967 แม้จะมีผลการเรียนในระดับ A ปานกลาง B ในประวัติศาสตร์และ C ในภาษาฝรั่งเศส แต่พระองค์ก็ได้การตอบรับเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Cambridge โดยไม่ต้องสอบ มีรถมินิสีแดงสดขับไปส่งที่มหาวิทยาลัย อาศัยอยู่ในห้องที่สวยงามเกินกว่านักเรียนปีหนึ่งทั่วไป และยังได้รับการตกแต่งโดยช่างทำพรมของพระราชินี
พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทพระองค์แรกที่ทรงได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย ลอร์ดบัตเลอร์ ปรมาจารย์แห่ง Trinity College กล่าวว่า “เราคิดว่ามันค่อนข้างน่าทึ่งที่เขาสามารถได้รับคะแนนดี เมื่อพิจารณาจากหน้าที่อื่นๆ ทั้งหมดของพระองค์”
คิงชาร์ลส์พบกับ Camilla Shand ครั้งแรกในฤดูร้อนปี 1971 มีคนบอกว่า เธอแนะนำตัวเองโดยพูดว่า "คุณย่าทวดของฉันเป็นภรรยาลับของคุณปู่ทวดของคุณ - แล้วยังไงล่ะ?"
ทั้งสองตกหลุมรักกัน แต่แยกทางกันเมื่อคิงชาร์ลส์เข้าร่วมกองทัพเรือ บางคนบอกว่า การแยกทางของพวกเขามาจากคำแนะนำของลอร์ด เมานต์แบ็ตเทน ลุงที่พระองค์รักและเคารพมากที่บอกว่า มีเพียงสาวพรหมจารีเท่านั้นที่สามารถแต่งงานกับกษัตริย์ในอนาคตได้
ในปี 1974 นักข่าวผู้สังเกตการณ์พูดกับคิงชาร์ลส์ว่า “พระราชินียังเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ ดูเหมือนว่าคุณจะต้องใช้เวลาหลายปีในการเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์” และถามว่า “พระมหากษัตริย์ควรครองราชย์ไปจนตายหรือไม่? หรือควรมีการเกษียณอายุหรือไม่” คิงชาร์ลส์ตอบว่า “ไม่ ฉันไม่คิดว่ากษัตริย์ควรจะเกษียณและรับเงินบำนาญอย่างแน่นอน … ธรรมชาติของการเป็นราชานั้นแตกต่างออกไป มีสิ่งมากมายที่ฉันสามารถทำได้”
ในการสัมภาษณ์เดียวกัน คิงชาร์ลส์กล่าวว่า เขาหวังว่าจะสนับสนุนการยอมรับความหลากหลายมากขึ้น โดยกล่าวว่า "ยิ่งผู้คนเข้าใจเกี่ยวกับภูมิหลังของผู้อพยพที่มายังประเทศนี้มากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับพวกเขาน้อยลงเท่านั้น การเป็นเพื่อนบ้านกับผู้คนจากต่างเชื้อชาติและประเทศอื่น คุณต้องทำความคุ้นเคยกับพวกเขาให้มากขึ้น รู้ว่าพวกเขาอยู่ กิน ทำงาน อะไรที่ทำให้พวกเขาหัวเราะ รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของพวกเขาด้วย”
คิงชาร์ลส์ได้รับคำแนะนำจากลอร์ด เมานต์แบ็ตเทน ด้วยว่า "สำหรับภรรยา พระองค์ควรเลือกผู้หญิงที่มีนิสัยน่ารักและเหมาะสม ก่อนที่เธอจะไปพบกับคนอื่นที่เธออาจตกหลุมรัก" ในปี 1977 เมื่อเขาอายุ 29 ปี เขาได้พบกับไดอาน่า สเปนเซอร์ (Diana Spencer) วัย 16 ปี
ภายใต้แรงกดดันให้แต่งงาน คิงชาร์ลส์ขอไดอาน่าในเดือนกุมภาพันธ์ 1981 ก่อนที่เธอจะเดินทางไปออสเตรเลีย พระองค์กล่าวว่า "ฉันคิดว่า 'ฉันจะถามเธอเพื่อที่เธอจะได้มีโอกาสคิดเรื่องนี้' และเมื่อถูกถามว่า พวกเขากำลังมีความรักหรือไม่ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ ชาร์ลส์กล่าวเพียงว่า “ไม่ว่าคำว่า ‘ตกหลุมรัก’ จะหมายถึงอะไรก็ตาม”
ในพิธีแต่งงานของทั้งสองพระองค์ที่มหาวิหารเซนต์ปอลมีผู้เข้าร่วม 3,500 คน โดยมีผู้รอคอยชมราว 600,000 คนเรียงรายไปตามเส้นทางของขบวนแห่ไดอาน่า และมีผู้ชมทางโทรทัศน์อีกประมาณ 28 ล้านคนในสหราชอาณาจักรและ 750 ล้านคนทั่วโลก ชุดเจ้าสาวของไดอาน่ายาว 7.6 เมตรทำจากผ้าแพรแข็งสีงาช้างและลูกไม้โบราณ มีเค้กแต่งงานอย่างเป็นทางการ 23 ชิ้น ชิ้นหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้และขายไปในราคา 1,850 ปอนด์ในปี 2021 นักเขียนชีวประวัติของราชวงศ์ Hugo Vickers เขียนไว้ในบันทึกประจำวันว่า “งานอภิเษกสมรสไม่โรแมนติกมากไปกว่าการปิกนิกท่ามกลางเหล่าตัวต่อ”
เมื่อเจ้าชายวิลเลียมประสูติในปี 1982 เดอะการ์เดียนรายงานว่า เมื่อฝูงชนนอกโรงพยาบาลรู้ข่าวก็ตะโกนว่า "เยี่ยมมากชาร์ลี ขออีกคนเถอะ" (“Nice one Charlie, let’s have another one,” พระองค์หัวเราะและตอบว่า "ให้ตายเถอะ ให้โอกาสเราเถอะ" (“Bloody hell, give us a chance.”)
ในช่วงหกสัปดาห์ก่อนที่เจ้าชายแฮร์รีจะประสูติในปี 1984 เจ้าหญิงไดอาน่ากล่าวในภายหลังว่าพระองค์และชาร์ลส์ “สนิทกันมาก … สนิทกันมากที่สุดเท่าที่เราเคย เคยเป็นมา และจะเคยเป็น แล้วจู่ๆ เมื่อแฮร์รี่เกิด มันก็ปัง การแต่งงานของเรา เรื่องทั้งหมดก็พังทลาย”
แซลลี่ บีเดล สมิธ (Sally Bedell Smith) นักเขียนชีวประวัติของคิงชาร์ลส์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคิงชาร์ลส์และคามิลล่า เริ่มกลับมาในปี 1986 เจ้าหญิงไดอาน่าบอกกับแอนดรูว์ มอร์ตัน (Andrew Morton) นักเขียนชีวประวัติของเธอว่า เธอเผชิญหน้ากับคามิลล่าในปี 1989 โดยเธอเล่าว่า คามิลล่าได้กล่าวว่า “ผู้ชายทุกคนในโลกตกหลุมรักคุณ และคุณมีลูกที่น่ารักสองคน คุณต้องการอะไรอีก” เธอตอบว่า "ฉันต้องการสามีของฉัน"
หนังสือของแอนดรูว์ มอร์ตันตีพิมพ์ในปี 1992 เปิดเผยรายละเอียดที่น่าสะเทือนใจเกี่ยวกับการแต่งงานของชาร์ลส์และไดอาน่า พวกเขาแยกทางกันอย่างเป็นทางการในปีต่อมา
ปี 1994 พระองค์ยอมรับว่า มีความสัมพันธ์กับคามิลล่าในการให้สัมภาษณ์กับโจนาธาน ดิมเบิลบี นักเขียนชีวประวัติของพระองค์ และหลังจากเจ้าหญิงไดอาน่าให้สัมภาษณ์กับมาร์ติน บาชีร์ในปี 1995 สมเด็จพระราชินีได้ส่งจดหมายถึงชาร์ลส์และไดอาน่าเพื่อแนะนำให้ทั้งคู่หย่าร้างกัน
และในที่สุดเมื่อชาร์ลส์และไดอาน่าหย่าขาดจากกัน มีข้อตกลงที่ทำให้เธอได้รับเงินก้อน 17 ล้านปอนด์ หรือเทียบเท่ากับ 41 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน และอีก 400,000 ปอนด์ต่อปี มีการลงนามในข้อตกลงที่ไม่เปิดเผย ที่ห้ามการพูดคุยเรื่องการหย่าร้างหรือการแต่งงาน
หลังจากเจ้าหญิงไดอาน่าประสบอุบัติเหตุรถชนที่ปารีสในปี 1997 ชาร์ลส์บอกข่าวร้ายกับเจ้าชายแฮร์รี่ในห้องนอนของเขา เรียกเขาว่า "ลูกชายที่รัก" และวางมือบนเข่า แต่ไม่ได้กอดเขา แฮร์รี่เล่าในบันทึก
งานแต่งงานของคิงชาร์ลส์และคามิลล่าจัดขึ้นในปี 2005
เกียรติยศที่คิงชาร์ล์ได้รับให้ในช่วงชีวิตของพระองค์ ได้แก่ สายสะพายประเภทพิเศษของภาคีนกอินทรีแอซเท็กในเม็กซิโก, เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ (Grand Cordon of the Supreme Order of the Chrysanthemum in Japan) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสุงสุดของญี่ปุ่น, ผู้บัญชาการใหญ่ของภาคีสิงโตในมาลาวี และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา หรือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้าง - เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งประเทศเดนมาร์ก (Knight of the Order of the Elephant in Denmark) นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับรางวัลพิเศษสำหรับการเป็นองค์อุปถัมภ์การจัดสวนจาก Garden Media Guild ในปี 2011
มีชาวอังกฤษเพียง 3 ใน 10 เท่านั้นที่คิดว่าสถาบันกษัตริย์ “มีความสำคัญมาก” ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่การสำรวจล่าสุดของ YouGov พบว่า 58% ของประชาชนชอบระบอบกษัตริย์มากกว่าการเลือกตั้งประมุขแห่งรัฐ หรือ Head of State
แผนการสำหรับพิธีราชาภิเษกดำเนินการมาเป็นเวลาหลายปีภายใต้ชื่อรหัสว่า “Operation Golden Orb” ยังไม่มีการเปิดเผยงบประมาณ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ระหว่าง 50-100 ล้านปอนด์
ในงานนี้เราจะได้เห็นพิธีการสวมมงกุฏกษัตริย์อันล้ำค่าหาดูได้ยากกันอีกครั้ง มีรายงานว่า คิงชาร์ลส์ต้องการให้งานพระราชพิธีนี้ "สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพระองค์ คือระบอบกษัตริย์ที่เล็กกว่าและทันสมัยกว่า" โดยมีแขกเพียง 2,000 คนเทียบกับ 8,000 คนที่เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และมีพิธีการที่สั้นกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีค่าใช้จ่าย 912,000 ปอนด์ในปี 1953 (พ.ศ. 2496) หรือเทียบเท่า 20.5 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน
คิงชาร์ลส์จะออกจากพิธีโดยสวม ‘พระมหามงกุฎอิมพีเรียลสเตท’ สัญลักษณ์แห่งสถาบันกษัตริย์อังกฤษเป็นครั้งแรก มงกุฏนี้มีความสูง 12 นิ้ว น้ำหนัก 1.06 กิโลกรัม
หมายกำหนดการพระราชพิธีราชาภิเษก:
วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม : พิธีราชาภิเษกในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์, ขบวนแห่ราชรถบรมราชาภิเษก, การเสด็จออกสีหบัญชรที่พระราชวังบักกิงแฮม
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม : คอนเสิร์ตและการแสดงแสงสีเสียงที่พระราชวังวินด์เซอร์ งานเลี้ยงมื้อกลางวันตามท้องถนน
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม : วันหยุดพิเศษ กิจกรรม Big Help Out กระตุ้นให้ผู้คนมีส่วนร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยงานในชุมชน
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/thai/international-62844030