"ฮีโร่" สู่ "ฮีร่วง" สมรักษ์ คำสิงห์ จากหรียญทองโอลิมปิก สู่คดี พรากผู้เยาว์
สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก กำลังจะกลายเป็น "ฮีร่วง" เมื่อเขาถูกกล่าวหา"คดีพรากผู้เยาว์" สาว 17 ปี วันนี้โพสต์ ทูเดย์ พาไปทำความรู้จัก และเปิดเรื่องราวชีวิต ของอดีตเหรียญทองโอลิมปิกคนนี้กัน
สมรักษ์ คำสิงห์ คืออดีตนักกีฬามวยสากลสมัครเล่น แม้ช่วงหลังเขาจะเบนเข็มมาเล่นการเมือง เป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขต 11 พรรคพลังประชารัฐ ใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566
แต่ภาพจำของเขาคือนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก เกมส์ คนแรกของไทย ในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2539 และกวาดเหรียญรางวัลมาแล้วครบทุกรายการที่เขาลงแข่ง
เส้นทางบนสังเวียนผ้าใบของ "โม้อมตะ" สมรักษ์ คำสิงห์ เดินมาจากศูนย์ เขาเริ่มชกมวยตั้งแต่อายุเพียงแค่ 7 ขวบ พัฒนาฝีมือเรื่อยๆ จนติดทีมชาติ และสามารถคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาให้กับประเทศไทยได้ จนได้รับชื่อว่าวีรบุรุษโอลิมปิก
เกิดจากคนมวยเติบโตเป็นยอดนักมวย
สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดในครอบครัวยากจน เป็นคนจังหวัดขอนแก่น เขาเป็นลูกคนกลาง ในจำนวนลูกทั้ง 3 คน เขามีพี่ชายชื่อสมรถ คำสิงห์ ที่ชกมวยเหมือนกัน
พ่อของเขาเป็นนักมวยเก่า "บาส" จึงได้รับการฝึกการชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชกมวยครั้งแรกขณะอายุได้ 7 ปี และได้ตระเวนชกตามเวทีงานวัดต่าง ๆจนได้รับการทาบทามจาก ณรงค์ กองณรงค์ หัวหน้าคณะณรงค์ยิมให้มาร่วมค่าย สมรักษ์จึงขอขึ้นชกมวยไทยในชื่อ สมรักษ์ ณรงค์ยิม และกลายเป็นนักมวยมีชื่อในแถบจังหวัดขอนแก่น
จากนั้น "สมรักษ์" เข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ ได้ไปเรียนที่ โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา โดยชกทั้งมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ขึ้นชกมวยไทยในชื่อ "พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ" เมื่อกระดูกมวยแข็งได้ขึ้นชกมวยที่เวทีมาตรฐาน ทั้งเวทีราชดำเนินและเวทีลุมพินี มีโอกาสขึ้นชกกับนักมวยชื่อดังยุคนั้นหลายคน แต่ไม่เคยได้แชมป์มวยไทยของเวทีใด จน พ.ศ. 2538 จึงหันมาเอาดีด้านมวยสากลสมัครเล่นอย่างเดียว โดยค่าตัวสูงสุดในการชกมวยไทยอยู่ที่ราว 180,000 บาท
ทั้งนี้สมรักษ์เริ่มเข้าแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในนามของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2528 เมื่ออายุ 12 ปี ได้รับการทาบทามจากสโมสรราชนาวีให้ชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของสโมสรและจะบรรจุให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือด้วย สมรักษ์จึงตอบตกลง สมรักษ์ประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ
ติดทีมชาติครั้งแรก - เกือบไม่ได้เป็นฮีโร่
สำหรับการขึ้นไปติดทีมชาติไทยของ "บาส" สมรักษ์ คำสิงห์เรียกได้ว่ามีครบทุกรสชาติ เขาเข้าสู่ทีมชาติครั้งแรก ในการแข่งขันโอลิมปิก ที่บาร์เซโลนา ในปี พ.ศ. 2535 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร
แต่ความมีรสชาติมาเริ่มที่การคัดตัวไปแข่งเอเชียเกมส์ ฮิโรชิม่า เกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่นปี 2537 เมื่อทดสอบสมรรถภาพร่างกายกับการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่ด้วยความเป็นนักมวยพรสวรรค์ เขาได้โอกาสทดสอบอีกครั้งจนร่างกายผ่าน และได้ไปแข่ง ฮิโรชิม่า เกมส์ที่ญี่ปุ่น และ"สมรักษ์ คำสิงห์" กลายเป็นนักกีฬาไทย ที่ได้เหรียญทองเพียงคนเดียว ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2537
จากนั้นกราฟชีวิตของ "สมรักษ์" ก็พุ่งแบบฉุดไม่อยู่ เมื่อได้เหรียญทองซีเกมส์ 2538 ที่เชียงใหม่
ปี 2539 เขากลายเป็นนีกกีฬาไทยคนแรกที่ก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ในศึกโอลิมปิก เกมส์ 1996 ที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา ซึ่งการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในครั้งนี้ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ออกแสตมป์ที่มีรูปการชกรอบชิงชนะเลิศของสมรักษ์ ราคาดวงละ 6 บาท มาด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ และทางกองทัพเรือ (ทร.) ต้นสังกัดก็ได้เลื่อนยศให้สมรักษ์เป็นเรือตรี (ร.ต.) ซึ่งเดิมสมรักษ์มียศเป็นจ่าเอก (จ.อ.)
ชีวิตเปลี่ยนแปลงจากไม่มีจะกินกลายเป็นซูเปอร์สตาร์เมืองไทย
ช่วงเวลาหลังจากนั้นชีวิตของสมรักษ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์อันดับต้นๆของเมืองไทย หลังกลับจากสหรัฐฯ เขากลายเป็นพระเอกละครหลังข่าวของช่อง 7 ในเรื่องนายขนมต้ม
เขาเริ่มมีงานในหลากหลายวงการเข้ามามากมายจนกลายเป็นดาราดังคนหนึ่ง
เมื่องานละครเข้ามาเยอะ ทำให้"บาส" ฝึกซ้อมน้อยลงไป ยิ่งมีชื่อเสียงลาภยศเงินทองไหลเข้ามาทำให้เขาเริ่มซ้อมชกมวยน้อยลงไปกว่าเดิม ผลงานการชกมวยดร็อปลงไปจากเดิมจนไม่เห็นเค้าลางความเก่ง ยิ่งประกอบด้วยอายุที่มากขึ้น แม้สมรักษ์จะประคองตัวเองฝ่าด่านรอบคัดเลือกไปแข่งโอลิมปิกเกมส์ 2000 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซได้ แต่การแข่งคราวนั้นเขาไปไม่รอดจอดแค่รอบแรก
จนเจ้าตัวประกาศเลิกชกมวยสากลสมัครเล่นทันที
ชีวิตส่วนตัวครอบครัวสมบูรณ์
สมรักษ์ แต่งงานกับนางเสาวนีย์ คำสิงห์ ทั้งคู่รู้จักและเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ "เบสท์" รักษ์วนีย์ คำสิงห์ และ "โบ๊ท" ภูวรักษ์ คำสิงห์
น้องเบสต์ลูกสาวโด่งดังจากการทำช่องยูทูบและเข้าวงการบันเทิง ส่วน "โบ๊ท" เตะฟุตบอลเก่งมีฝีเท้าดีตั้งแต่เด็ก ไปคัดตัวและเป็นนักฟุตบอลในอะคาเดมี่ของเมืองทอง ยูไนเต็ด ก่อนจะผันตัวมาเป็นยูทูเบอร์ตามพี่สาว และชวนคุณพ่อคุณแม่ทำช่องยูทูบด้วย ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างมาก
ธุรกิจนอกสังเวียนผืนผ้าใบ
อดีตนักชกฮีโร่โอลิมปิกเกมส์ ประกอบธุรกิจส่วนตัวมากมากหลังเลิกชกมวยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น คลินิก ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและความงาม, ครีมฮีโร่ บัส ธุรกิจครีม และโลชั่น ขายผ่านช่องทางออนไลน์ และร้านหมูกระทะ “สมรักษ์ย่างเกาหลี”
และด้วยความเป็นคนมวยมาก่อน "สมรักษ์"เปิดค่ายมวย “ส.คำสิงห์” เขาลงมือถ่ายทอดวิชามวยที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านแดดลมฝนมาสอนนักมวยหน้าใหม่ด้วยตัวเอง รวมทั้งเคยทำธุรกิจเปิดธุรกิจสถานีบริการน้ำมันที่ จ.ชัยภูมิด้วย
ซึ่งธุรกิจน้ำมันที่เขาลงทุนเปิดให้พ่อตา แม่ยาย ส่งผลให้ สมรักษ์ คําสิงห์ และ ภรรยา กลายเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อธุรกิจน้ำมันของให้กับพ่อตาแม่ยายที่ จ.ชัยภูมิ ขาดทุน เป็นหนี้สินกว่า 4 ล้านบาท
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่องคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โดยระบุว่า ด้วยบริษัท บริหารสินทรัพย์ มหานคร จํากัด ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จําเลยทั้งสองล้มละลาย ประกอบด้วย นางเสาวนีย์ คำสิงห์ จําเลยที่ 1 และนายสมรักษ์ คําสิงห์ จําเลยที่ 2
ชีวิตทุกวันนี้ยังมีความสุขดี
คดีฟ้องร้องล้มละลายสมรักษ์ คำสิงห์ พลิกเมื่อ บริษัทที่ฟ้องล้มละลายสมรักษ์นั้น เป็นบริษัทของคนต่างชาติที่ตั้งขึ้นมาแล้วไปช้อนซื้อหนี้เสียแล้วไปตามทวงหนี้ฟ้องล้มละลายกับคนอื่นๆ ใครกลัวเสียหน้า ก็ยอมจ่ายเงินให้ และมีหลายคนโดนแบบนี้มาเยอะมาก
“ผมอยากให้คดีนี้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนคนทั่วไปเลยด้วยซ้ำ มันจะมีพวกหากินแบบนี้ เอาหนี้เสียมารื้อใหม่ ทำงานรับใช้ชาวต่างชาติ นี่แหละคือพวกขายชาติตัวจริง แต่ผมไม่ยอม ถ้าจะฟ้องก็ฟ้องไป ผมเป็นหนี้เรื่องบ้าน 4 ล้านกว่า ส่งบ้านไปแล้ว 3.5 ล้าน มันบอกว่า ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยอีกรวม 9 ล้านบาท ผมเป็นหนี้จริง ทำไมไม่มาบอกตั้งแต่ปีแรกๆ นี่ปล่อยให้ดอกเบี้ยท่วมถึง 9 ล้าน ผมไม่ยอมจ่ายหรอก” นี่คือคำพูดของสมรักษ์ เมื่อครั้งที่เขาเป็นข่าวเป็นคราวเรื่องโดนฟ้องล้มละลาย
ชีวิตนอกสังเวียนที่เร้าใจกว่าบนผืนผ้าใบ
"สมรักษ์" กับข่าวคราวยังไม่มีหยุด ปี 2564 เขาเข้าแจ้งความว่า ดำเนินคดีสาวใหญ่ที่อ้างเป็นยี่ปั๊วลอตเตอรี่ มีโควตาจำนวนมาก หลอกให้ลงทุนซื้อลอตเตอรี่ขายแล้วเบี้ยวสูญเงินกว่า 11 ล้านบาท ต่อมาเกิดกรณีฆ่ายกครัวของ สจ.ดำ ซึ่งเป็นลูกหนี้ จัดหาลอตเตอรี่ ให้ สมรักษ์ คำสิงห์ 10 ล้านบาท
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.66 เขาตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาคดี "พรากผู้เยาว์" ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าขอสู้เต็มที่ เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหา
ซึ่งเรื่องนี้ต้องตามติดพิสูจน์ความจริงว่า เจ้าของฉายา "โม้อมตะ" สมรักษ์ คำสิงห์ จะกลับมาได้เหมือนทุกครั้งที่เขาโดนมรสุมชีวิตเล่นงานได้หรือไม่