มัดรวม ‘บัตรปชช.ใบเดียว รักษาทุกที่’ ได้ใช้เมื่อไหร่? อย่างไร?
‘บัตรปชช.ใบเดียว รักษาทุกที่’ เป็นการปฏิวัติทั้งระบบการจัดเก็บข้อมูลด้านสาธารณสุข รวมไปถึงการเข้าถึงการรักษาของประชาชน เริ่มใช้กับจังหวัดนำร่อง 8 ม.ค.นี้ และจะสมบูรณ์ภายในเดือนตุลาคมหน้า จะมีจังหวัดไหน และเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาล?
3 ระยะดำเนินการ ใครอยู่จังหวัดไหนได้ใช้เมื่อไหร่?
สำหรับเฟสนำร่อง ได้แก่ 4 จังหวัด คือ จังหวัด แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และนราธิวาส ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 80 โดยพบว่าแต่ละจังหวัดมีการยืนยันตัวตนแล้ว แพร่ 1 แสนคน เพชรบุรี 1.8 แสนคน ร้อยเอ็ด 3.41 แสนคน และนราธิวาส 1.51 แสนคน
ระยะที่ 2 มีนาคม 67 ครอบคลุม 8 จังหวัด
- เพชรบูรณ์
- หนองบัวลำภู
- นครสวรรค์
- อำนาจเจริญ
- สิงห์บุรี
- นครราชสีมา
- สระแก้ว
- พังงา
ระยะที่ 3 คือทุกจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 1,4,8 และ 12 ซึ่งสามารถใช้งานได้ในเดือนเมษายน 2567
- เขตสุขภาพที่ 1 ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน
- เขตสุขภาพที่ 4 ประกอบด้วย สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี
- เขตสุขภาพที่ 8 ประกอบด้วย อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ
- เขตสุขภาพที่ 12 ประกอบด้วย ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา
ระยะต่อๆ ไป ระยะที่ขยายผลครอบคลุมทั้งประเทศ ซึ่งมีการตั้งเป้าที่เดือนตุลาคม 2567 (ภายใน 1 ปี)
การพัฒนาระบบของกระทรวงสาธารณสุข ครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ระยะด้วยกัน
ระยะที่ 1
1. พัฒนาระบบบันทึกข้อมูล ทั้งจาก รพ.รัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นอกสังกัดสธ. รพ.เอกชน รพ.สต. คลินิก ร้านยา
2. พัฒนาระบบยืนยันตัวตน ได้แก่ การยืนยันตัวตนผู้รับบริการ ดิจิทัลไอดี ยืนยันตัวตนผู้ให้บริการ การตรวจสอบสิทธิ การยืนยันเข้ารับบริการ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. พัฒนาระบบการทำงาน ได้แก่ ประวัติสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ใบรับรองแพทย์ดิจิทัล ใบสั่งยา/ สั่งแล็ป การแพทย์ทางไกลและเภสัชกรรมทางไกล สมุดสุขภาพประชาชน การนัดหมายออนไลน์ การรับส่งยาและเวชภัณฑ์ที่บ้าน การเบิกจ่ายกับกองทุน
4. พัฒนาระบบเชื่อมต่อประชาชน ทั้งการผ่าน LINE OA และ Application เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงประชาชนทั้งประเทศ
ระยะที่ 2 คือ เมษายน ปี 67
- ระบบการจ่ายเงินออนไลน์
- การส่งต่อการรักษา
- ข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
- รวมไปถึงการยืนยันตัวตนต่างด้าว
สิ่งที่ประชาชนจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ (นำร่อง 4 จังหวัดก่อน) แบ่งเป็น 2 ระยะคือ
ระยะที่ 1
- เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลประวัติสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด ( ใน 4 จังหวัดนำร่องตอนนี้ครบแล้ว 100% ) ภายใต้การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
- ประชาชนจะมีประวัติสุขภาพแสดงบนโทรศัพท์และสามารถดึงประวัติของตนเองมาเก็บไว้ในสมุดสุขภาพของตนเองได้ ส่วนหญิงตั้งครรภ์จะมีสมุดฝากครรภ์สีชมพูบนโทรศัพท์
- หากต้องการใบรับรองแพทย์ จะเป็นใบรับรองระบบดิจิทัลที่มีลายเซ็นของแพทย์
- หากประสงค์จะไปรับยาที่ร้านยา หรือเจาะเลือดก็จะมีใบสั่งยาหรือแล็บแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงไปยังร้านยาและแล็บแบบอัตโนมัติ
- สามารถใช้ระบบการแพทย์ทางไกลเชื่อมต่อประวัติสุขภาพผ่านโทรศัพท์ และมีระบบนัดหมายออนไลน์
- มีการส่งยาทางไปรษณีย์
ระยะที่ 2
- เพิ่มระบบจ่ายเงินออนไลน์ ไม่ต้องรอที่เคาท์เตอร์จ่ายค่าบริการ เพื่อลดระยะเวลาการรอรับบริการในโรงพยาบาล หรือมีตู้คีย์ออสในกรณีที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
- การส่งตัวผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป
- ระบบสามารถเชื่อมโยงถึงการเจาะเลือดใกล้บ้าน และการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ผู้ป่วยระยะประคับประคองอีกด้วย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- สิทธิประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการ จะสามารถเข้าถึงการรักษาแบบ บัตรปชช.ใบเดียว รักษาทุกที่ได้เช่นเดียวกับสิทธิ 30 บาท
- การเบิกจ่ายเงินจะมุ่งให้หน่วยบริการได้รับเงินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากการส่งเบิก