บริจาคเลือด ทำบุญง่ายได้บุญเยอะ
เรื่อง : ปู โลกเบี้ยว
“เลือดท่านเพียงน้อยนิด ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้”
ไปถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงพยาบาลศิริราชมาค่ะ ก็เลยแวะขึ้นไปชั้นสาม ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด ไปถ่ายเทเลือดชั่วๆ เอ๊ย! เลือดดีๆ นี่แหละ บริจาคไปซะบ้าง
การบริจาคเลือดเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่และได้บุญมากด้วย อ.ภานุวัฒน์ พันธุวิชาติกุล เคยบอกไว้ว่าหากเลือดที่เราได้บริจาคนั้น ไปทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตที่ยืนยาวต่อได้อีก เขาอาจจะเป็นคนสำคัญในครอบครัวหรือเป็นคนสำคัญของชาติบ้านเมือง ที่มีผลทำให้อีกหลายๆ คนได้ประโยชน์จากเขาคนนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้บุญที่ไม่รู้จักจบสิ้นนั้นเอง
ในชีวิตปูมีโอกาสบริจาคเลือดได้ไม่กี่ครั้งเพราะปูกลัวเจ้าเข็มใหญ่ๆ ที่มาสูบเลือด มันจะปวดเวลาที่เขาจิ้มเข็มเข้าไปกับตอนที่ถอนมันออกน่ะซิ ทั้งๆ ที่ปูควรจะบริจาคที่สุดเลยล่ะ ก็ปูมีเลือดกรุ๊ป AB เจ้าน้องชายปูก็ AB น้องปูนะชอบมากเรื่องบริจาคเลือด บริจาคบ่อยมาก พอตอนหลังๆ เนี่ยทางสภากาชาดต้องส่งจดหมายขอบคุณในความมีเมตตาแต่ไม่ต้องแล้ว เพราะเลือดมีแต่แอลกอฮอล์
ก็การบริจาคเลือดน่ะไม่ใช่ว่าใครอยากจะบริจาคก็ได้นะ เขามีกฎข้อบังคับตั้งหลายอย่าง แหม! จะไม่ให้มีกฎเยอะๆ ได้ยังไงล่ะ ก็สมัยนี้โรคแปลกๆ เยอะ ยังมีพวกที่มีเพศสัมพันธ์แปลกพิสดารอีก ใจรักมีเมตตาแต่ชอบมีพฤติกรรมแปลกซะงั้น เจอประมาณผู้หญิงข้ามเพศใจบุญคนหนึ่งโดนเข้าห้องสัมภาษณ์ แล้วเดินหน้าหงิกออกไปเลย เขาไม่ให้บริจาคเลือดนะซิ ก็ตอนที่ไปบริจาคเลือดนะเขาจะมีแบบฟอร์มให้กรอกใช่มั้ย ปูล่ะฮาตั้งแต่กรอกชื่อนามสกุลเลยอ่ะ ก็เดี๋ยวนี้คนไทยชอบบ้าเปลี่ยนชื่อ ยังไม่พอบางคนบ้าไปเปลี่ยนนามสกุลที่เป็นวงศ์ตระกูลของพ่อแม่กันเป็นว่าเล่นไม่ใช่เปลี่ยนตามสามีหรอกนะ เปลี่ยนตามหมอดูสั่ง เขาเลยมีช่องให้กรอกชื่อนามสกุลปัจจุบันและชื่อนามสกุลเดิมก่อนเปลี่ยน ต้องมีการสัมภาษณ์ก่อน เช่นว่านอนพอมั้ย ท้องเสีย ถอนฟันมามั้ย มีโรค หรือไปเจาะหู สัก ฝังเข็ม กินยาต้องห้ามมามั้ย พวกผู้ชายได้มีเพศสัมพันธ์กับชายหรือไม่ ถามเยอะมากค่ะ กว่าจะได้เจาะเลือดไปตรวจคัดแยกว่าเราอยู่ในกรุ๊ปอะไร เขาจะหยดน้ำยาสีฟ้าและสีเหลืองลงไปที่เลือดของเรา ถ้าเลือดแตกตัวในน้ำยาสีฟ้าอย่างเดียวแปลว่าเป็นเลือดกรุ๊ป A ถ้าแตกในน้ำยาเหลืองอย่างเดียวคือกรุ๊ป B ถ้าแตกทั้งฟ้าทั้งเหลืองคือกรุ๊ป AB แต่ถ้าไม่แตกตัวทั้งสองสีเลยคือเลือดละลายหายไปกับน้ำยาแปลว่าเป็นเลือดกรู๊ป O
บางท่านอาจจะรู้แล้ว แต่สำหรับปูแล้วมันน่าตื่นเต้น เพราะเพิ่งจะเคยเห็น
พี่พยาบาลบอกว่าที่ต้องถามคำถามมากมาย หรือต้องตรวจค่อนข้างละเอียดก่อนที่จะได้บริจาคเลือดกันเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องมากหรอก แต่เป็นเพราะเคยมีคนเอาเลือดที่บริจาคไปใช้แล้วมีปัญหาฟ้องร้องกันนะซิ เลยจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน คงประมาณน้องปูน่ะที่ต้องมีจดหมายแจ้งมาว่าแอลกอฮอล์ในเลือดเยอะมาก ถ้าใครได้ไปไม่ต้องดื่มเหล้าให้เปลืองเงินเลย เมาอยู่ในสายเลือดเลยอ่ะ แฮะ! แฮะ! พูดเล่นนะคะ
พอผ่านด่านแรกแล้วก็ยังไม่สามารถให้เลือดได้เลยนะ ต้องไปนั่งพักดื่มน้ำหวานขนมหวานดูทีวีให้สบายใจก่อน ถึงจะได้ขึ้นเตียงเชือด เอ๊ย! บริจาคเลือด บางคนมาก่อนปูซะอีกแต่กลับบริจาคเสร็จหลังปู เพราะต้องนั่งพักนานหน่อย เนื่องจากว่าตอนมาเดินขึ้นบันไดมานะซิ บริจาคเสร็จก็ยังกลับไม่ได้อีกต้องนั่งพักดื่มน้ำหวานขนมหวานให้สบายอารมณ์ก่อนถึงจะได้กลับอ่ะ เขากลัวเป็นลมเป็นแล้งไปนะซิ
สรุปแล้วถ้าคิดจะบริจาคเลือดต้องเป็นวันสบายๆ ไม่รีบร้อนอะไร วันที่บริจาคเลือดก็ห้ามดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ทำงานหนักๆ แม้แต่อบตัวนะ เพราะจะเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป เลือดก็เปรียบเสมือนสายธารหล่อเลี้ยงชีวิตคนเรานั้นแหละ โดยปกติแล้วมนุษย์มีเลือดไหลเวียนในร่างกายอยู่ประมาณ 4,0005,000 ซีซี เราแค่สละเลือดบริจาคเพียง 350 ซีซีเท่านั้นเอง ถ้าคุณผู้ชายก็สามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน แต่ถ้าเป็นคุณผู้หญิงต้อง 6 เดือนอย่างต่ำนะ ยังไงร่างกายก็สามารถสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาชดเชยใหม่ได้อยู่แล้วล่ะ
บางคนพี่เจ้าหน้าที่บอกว่ามาบริจาคเลือดให้ตัวเองนะ ปูก็งงๆ เพราะเคยเห็นแต่เขามาบริจาคให้คนเจ็บหรือให้ใครก็ได้ที่ต้องการเลือดใช่มั้ย นี่ยังไงมาบริจาคให้ตัวเอง?? พี่เขาก็อธิบายว่าคือมาถ่ายเลือดไว้ให้ทางโรงพยาบาลได้เก็บเอาไว้ เพราะรู้ตัวว่าจะทำการผ่าตัดหรือต้องเสียเลือด แล้วไม่อยากที่จะรับเลือดของคนอื่นเลยมาทำการเก็บเลือดของตัวเองเอาไว้ก่อนยังไงล่ะ อ้อ! อย่างนี้นี่เอง
ถ้าเลือดของเราสามารถนำไปใช้ช่วยเหลือคนอื่นให้เขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นก็เป็นบุญที่ใหญ่หลวงแล้วล่ะ ปูว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องควักเงิน แต่ได้บุญคุ้มเกินกว่าที่เสียไปซะอีกแหนะ