'แมงมุมมอง' มุมมองของ 'กุดจี่'

26 มกราคม 2553

ในที่สุด กุดจี่ หรือชื่อจริงว่า พรชัย แสนยะมูล ก็ไต่ขอบรางวัลซีไรต์เป็น 1 ใน 7 ผู้เข้าชิงรางวัลประจำปีนี้....

ในที่สุด กุดจี่ หรือชื่อจริงว่า พรชัย แสนยะมูล ก็ไต่ขอบรางวัลซีไรต์เป็น 1 ใน 7 ผู้เข้าชิงรางวัลประจำปีนี้....

โดย...พับพ์กิ้น_พาย

มีชื่อส่งเข้าประกวดซีไรต์มาก็หลายครั้ง ในที่สุด กุดจี่ หรือชื่อจริงว่า พรชัย แสนยะมูล ก็ไต่ขอบรางวัลซีไรต์เป็น 1 ใน 7 ผู้เข้าชิงรางวัลประจำปีนี้ กับรวมกวีนิพนธ์ชื่อว่า "แมงมุมมอง" ที่สะท้อนแนวความคิดที่มีต่อสังคม ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์สังคมด้วยอารมณ์ขัน เพราะด้วยความที่เป็น นักเขียนอารมณ์ขัน เขาจึงขัดเกลาบทกวีเหล่านั้นออกมาด้วยภาษาที่ง่ายๆ งดงาม ขำขัน แต่ทว่า ซ่อนความลุ่มลึกเอาไว้ให้ผู้อ่านแต่ละคนไปตีความกันเอาเองตามแต่ประสบการณ์ และมุมมองที่มี

แต่ก่อนอื่นหลายคนอาจจะสงสัยว่าอะไรดล บันดาลให้เขาเลือกใช้นามปากกาว่า "กุดจี่" ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้กันว่าแมงกุดจี่นั้นเป็นแมลงที่อาศัยอยู่ในมูลควาย ซึ่งเขาก็ชี้แจงให้ฟังว่า

"ชื่อ กุดจี่ นี่เวลาไปพูดที่ไหนก็มีแต่คนถามผมตลอดนะว่าคืออะไร ทำไมใช้ชื่อนี้ ผมก็จะบอกตลอดเหมือนกันว่า กุดจี่ คือ แมลงตัวเล็กๆ ที่ น่ารัก และมีความกตัญญู รู้คุณ อยู่ในกองอุนจิ บัฟฟาโล เพราะผมเป็นลูกชาวไร่ชาวนา ผมตั้งชื่อนี้ก็เพราะต้องการสื่อที่ไปที่มาของเราว่า เราเป็นลูก ชาวไร่ชาวนานะ เผื่อวันหนึ่งต้องมาหลงแสงสี ในเมืองกรุงจะได้ไม่ลืม มีโอกาสได้ไปยืนบน ดวงดาวจะได้ไม่ลืมที่ไปที่มา และฟังชื่อก็น่ารักด้วย จะออกไปแนวภาษาอังกฤษก็ได้ Good G หรือ กุดจี่ ซึ่งชื่อนี้ก็เริ่มใช้มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แล้วนะ งานเขียนอันไหนตลกหน่อยก็จะใช้กุดจี่ อันไหนซีเรียส ก็จะใช้ชื่อจริง หรือชื่ออื่นๆ บ้าง"

\'แมงมุมมอง\' มุมมองของ \'กุดจี่\'

ส่วนเรื่องของจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็น นักเขียนนั้น กุดจี่เล่าว่า ตัวเขาเองนั้นเป็นเด็กที่สนใจทำกิจกรรมมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการเล่นละคร แต่งกลอนสด หรือแม้แต่ลงมือทำหนังสือทำมือมาตั้งแต่อยู่เพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้นเอง

เมื่อเรียนในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาควิชาภาษาไทย เขาก็ยังคงทำกิจกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมเชียร์ ค่ายอาสา เล่นดนตรี อ่านบทกวีสด และด้วยความที่เป็นสมาชิกของชมรมภาษาสื่อสาร เขาจึงได้นำประสบการณ์ และมิตรภาพระหว่างการเดินทางที่ได้รับมานั้นมาถ่ายทอดเป็นเรื่องสั้น และบทกวีอยู่อย่างสม่ำเสมอ

แต่กิจกรรมหนึ่งที่เขาบอกว่าเป็นตัวจุดประกายความคิดจริงๆ จังๆ จนทำให้เขาอยากจะเป็นนักเขียน ก็คือ โครงการวรรณกรรมสัญจร "จริงๆ สิ่งที่เป็นตัวจุดประกายให้ผมอยากเป็น นักเขียนก็คือ โครงการวรรณกรรมสัญจร ของ อ.ไพฑูรย์ ธัญญา ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามนะ เพราะตอนนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พอไปร่วมกิจกรรมผมได้เจอนักเขียนตัวเป็นๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดก็เลยเกิดแรงบันดาลใจสู่เส้นทางนักเขียน ณ ตอนนั้น"

งานเขียนเล่มแรก (แต่ตีพิมพ์เป็นเล่มที่ 2) ที่ กุดจี่ตั้งใจเขียนตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ก็คือ เรื่อง "เพราะรัก" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตรักนักศึกษา ทั้งภายในรั้วมหาวิทยาลัย และการออกค่ายไปทำกิจกรรม ซึ่งกุดจี่บอกว่า ถ้าดูชื่อเรื่องอาจจะเหมือนว่าเป็นเรื่องความรักบางเบา แต่จริงๆ แล้วเขาได้ สอดแทรกอุดมการณ์ของหนุ่มสาวยุคแสวงหาเอาไว้ด้วย และไม่เพียงแต่เล่มนี้เท่านั้น เพราะหนังสือของเขาทุกเล่ม แม้ดูภายนอกอาจจะมองว่าเป็นหนังสืออารมณ์ขัน แต่ทุกเล่มล้วนให้ข้อคิดอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วยเสมอ

\'แมงมุมมอง\' มุมมองของ \'กุดจี่\'

แต่หนังสือที่ทำให้คนรู้จักกุดจี่มากขึ้นก็คือเล่มมีชื่อว่า "อยากให้เธออารมณ์ดี ตลอดปีตลอดชาติ" ซึ่งมียอดขายกว่าแสนเล่ม และทำให้กุดจี่ผันชีวิตมาเปิดสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง ภายใต้ชื่อว่า สำนักพิมพ์ไม้ยมก

สำหรับหนังสือที่มีชื่อว่า "แมงมุมมอง" ที่ได้เข้ารอบซีไรต์เล่มนี้นั้น กุดจี่บอกว่า "ชื่อแปลได้ 2 ความหมายครับ ถ้าโดยชื่อก็คือ มุมมองของแมงกุดจี่ก็ได้ และอีกความหมายหนึ่ง ถ้าไปอ่านบทกวีของแกะดำ ที่บอกว่า "แมงมุมขยุ้มดวงตา ... ชักใยไปมาระหว่างมุมดวงใจ ... แมงมองจ้องมองด้วยใจ ... มุมมองใหม่ๆ ซ่อนอยู่ใต้ขาแมงมุม ... แมงมุมคู่กับแมงมอง ... แมงมุมท้องป่องเพราะแมงมองพิฆาต... แมงมุมออกลูกมาเต็มตลาด... ชื่อแปลกประหลาดว่าแมงมุมมอง" นั่นจะเห็นว่า เราสร้างขึ้นมาว่า มันมีแมงชนิดใหม่เกิดขึ้นมา ไม่ใช่แมงมุมนะ แต่เป็นการผสมระหว่างแมงมุมกับแมงมอง จนออกลูกมาเป็นแมงมุมมอง ซึ่งถ้ามองในปัจจุบันก็เข้ากับยุคสมัยพอดีเลย เพราะบางคนอาจจะคิดว่าทำแบบนี้ภาษาจะวิบัติหรือเปล่า แต่ผมก็คิดว่าการผสมคำมันก็ทำให้เกิดคำใหม่ๆ ขึ้นนะ และก็ไม่ได้เสียหาย เพราะภาษา มันดิ้นได้ อย่างเช่นหนังสือบางเล่ม ชื่อว่า เธอ กระโจนออกมาจากรูจมูกของฉัน มันก็คือ เธอคือลมหายใจของฉัน หรือ แทนที่จะบอกว่ารักเธอ สุดหัวใจ เราก็บอกว่ารักเธอสุดหัวไหล่แทน"

กลอนบางส่วนในแมงมุมมองนั้นเคยตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว และอีกส่วนหนึ่งเพิ่งจะแต่งเพิ่มขึ้นมา ส่วนรูปแบบกวีในแมงมุมมองนั้น ด้วยความที่กุดจี่เรียนทางด้านภาษาไทยมา จึงทำให้ได้เรียนเรื่องฉันทลักษณ์ต่างๆ เช่น โคลง ฉันท์ ร่าย กาพย์ กลอน มาบ้าง ในช่วงแรกๆ งานของเขาจึงเขียนตามฉันทลักษณ์ แต่มาอยู่ช่วงหนึ่งเขาเกิดความรู้สึกว่าทำไมเราต้องเขียนตามที่เคยเรียนมาด้วย "อาจจะเพราะความดื้อของเด็กคนหนึ่งที่มันซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ ตอนนั้นผมก็เลยออกจากกรอบเก่าๆ ไปแสวงหาเส้นทางใหม่ เราก็เลยสร้างฉันทลักษณ์ขึ้นมาเอง ซึ่งบางครั้งก็เป็นการผสมผสานระหว่างกรอบเก่ากับกรอบใหม่ เอามาผสมผสานใหม่ให้เป็นสไตล์ของเรา"

กุดจี่แนะนำว่า การอ่านรวมบทกวีของเขาให้ได้อรรถรส ต้องอ่านตั้งแต่บทที่ 1 ไปจนถึงบทที่ 145 เพราะแต่ละบทจะเป็นการเรียงลำดับความคิดที่ต่อเนื่องกันไป ซึ่งเรื่องราวบางเรื่องก็เสนอมุมมองก็มองในแง่ร้าย บางอันก็เสนอมุมมองในแง่ดี แต่เขาก็ไม่สรุปเอาไว้ว่าอันไหนเป็นมุมมองที่ถูกต้อง เพราะ ต้องการให้ผู้อ่านไปตีความเอาเอง

เรื่องราวที่นำเสนอเอาไว้ภายในเล่มนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในครอบครัว เกี่ยวกับพ่อแม่ลูก ปัญหาในโรงเรียน ในสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา สันติภาพ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ปัญหาโลกร้อนก็มี "ผมต้องการจะสื่อว่าไม่ว่าคุณจะมองเรื่องต่างๆ ในมุมไหน ร้ายหรือดีก็เรื่องของคุณ เพราะเรายอมรับในความแตกต่างกันได้ ซึ่งเราก็จะอยู่ในสายใยของแมงมุมมองได้อย่างอบอุ่น แต่แมงมุมก็ไม่ได้มีแค่สายใยแห่งความผูกพันเท่านั้น แต่ยังมีกับดักของแมงมุมด้วย ก็เหมือนกับดักของสังคม อ่านงานตรงนี้แล้วคุณอาจจะรู้ทันสังคมว่า เราตกเป็นกับดักของสังคม เป็นเหยื่อของอะไรบ้างหรือเปล่า"

ผลงานของเขาได้เข้ารอบรางวัลซีไรต์นั้น กุดจี่ก็บอกว่า ถือเป็นความภาคภูมิใจของเขาอย่างหนึ่ง

"ได้เข้ารอบซีไรต์ แน่นอนว่าต้องรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา อย่างน้อยผลงานที่เราสร้างสรรค์มาเป็นงานอารมณ์ดี เราก็ภูมิใจว่าอารมณ์ขันไม่ใช่มีแต่ขำไร้สาระ เพราะของเรามันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ มีอะไรให้ขบคิดอยู่ ซึ่งสำหรับเล่มนี้ ถ้าคณะกรรมการกลุ่มหนึ่ง นักวิจารณ์กลุ่มหนึ่งยอมรับงานของเราก็ภูมิใจ และดีใจ แต่ถ้าไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ก็ดี เพราะถ้ามองในแง่ธุรกิจหนังสือก็จะขายได้ และเราก็จะได้ถูกมองว่า กุดจี่ไม่ใช่ไร้สาระอย่างเดียวนะ แต่รางวัลก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เพราะผมเขียนหนังสือแต่ละเล่มก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปในแต่ละเล่มแล้ว ซึ่งระหว่างที่เราก้าวเท้าไปสู่ดวงดาว แม้ว่าเรายังไปไม่ถึง แต่ว่าระหว่างนั้นเราก็ได้ชื่นชม ดอกไม้ ยิ้มให้ผู้คน รับเสียงหัวเราะของผู้คนรอบข้าง ในแต่ละก้าวย่างเราก็ถือว่ามีความสุข ประสบความสำเร็จในแต่ละก้าวย่าง ในแต่ละเล่มแล้ว ถึงแม้ว่าจะขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จ"


 

Thailand Web Stat