posttoday

ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล

06 มีนาคม 2554

คนส่วนใหญ่ต่างพากัน “ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล” คือ พวกเขาลืมตาตื่นอยู่ในโลกนี้ก็จริงอยู่ แต่ลึกลงไปภายในกลับมีจิตใจที่หลับสนิทอยู่กับอวิชชา....

คนส่วนใหญ่ต่างพากัน “ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล” คือ พวกเขาลืมตาตื่นอยู่ในโลกนี้ก็จริงอยู่ แต่ลึกลงไปภายในกลับมีจิตใจที่หลับสนิทอยู่กับอวิชชา....

เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ผู้เขียนเพิ่งเดินทางกลับจากการจาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย อันเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้นี่จะไม่ใช่การเดินทางเยือนถิ่นพุทธภูมิครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่ได้กลับไปเยือนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ผู้เขียนก็ยังคงตื่นตาตื่นใจและได้อะไรใหม่ๆ กลับมาเสมอ

ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล

คราวนี้ก็เช่นกัน นอกจากตัวผู้เขียนเองจะได้นั่งสมาธิยาวนานที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ร่วมชั่วโมง เพราะวันที่ไปถึงพุทธคยานั้นตรงกับวันเกิดของตัวเองพอดี แล้วภาคบ่ายก็ยังได้นำคณะผู้จาริกแสวงบุญไปเยือนยังแม่น้ำเนรัญชรา อันเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่พระโพธิสัตว์ทรง “ลอยถาด” และทรง “สรงสนาน” ก่อนตรัสรู้อีกด้วย

แม่น้ำเนรัญชราในสมัยพุทธกาลนั้น คัมภีร์พรรณนาเอาไว้ว่า เป็นแม่น้ำที่มีน้ำเต็มฝั่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด สภาพแวดล้อมบริเวณริมฝั่งก็สะพรั่งไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ แต่ในปัจจุบันแม่น้ำแห่งตำนานสายนี้กลับเหลือเพียงหาดทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตามองไปทางไหนก็เห็นแต่ความร้อนแล้งระอุอ้าว หากเราไม่รู้พุทธประวัติ แม่น้ำเก่าแก่ที่มีแต่ทรายสายนี้ก็แทบไม่มีความสลักสำคัญอะไรเอาเลยก็ว่าได้

แต่สำหรับผู้รู้พุทธประวัติ แม่น้ำเนรัญชราไม่ได้มีแต่ทรายอย่างแน่นอน

ผู้เขียนเคยนิยามแม่น้ำแห่งตำนานสายนี้ว่า “เหนือทรายใต้น้ำ” หมายความว่า เบื้องบนที่มีแต่เม็ดทรายนั้น หากเราขุดลงไปเพียงไม่กี่ศอกก็จะพบน้ำเย็นสดชื่นซ่อนตัวอยู่ทุกหนแห่ง ก็เช่นเดียวกับในตัวเราทุกคน ที่มองภายนอกก็ดูเหมือนว่าจะอุดมไปด้วยกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง แต่ก็ภายใต้กิเลสที่คอยรัดรึงตรึงใจนี้เองที่มีภาวะพระนิพพานซ่อนตัวอย่างแวววาวพราวพราย

ความหมายอีกประการหนึ่งของคำนิยาม “เหนือทรายใต้น้ำ” ก็คือ เหตุการณ์ในพุทธประวัติหลายตอนที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำสายนี้ ซึ่งหากเราเรียนรู้ที่จะถอดรหัสหรืออ่านความหมายระหว่างบรรทัดออก ก็จะพบว่ามีความหมายอันลึกล้ำซ่อนอยู่ เช่น หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ทรงอธิษฐานลอยถาดเป็นการเสี่ยงทายว่า หากจะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันนี้แล้วไซร้ ก็ขอให้ถาดทองคำนั้นลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ซึ่งการณ์ก็เป็นไปตามนั้นทุกประการ

กล่าวคือ ถาดทองนั้นพอหลุดมือจากพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ได้ลอยทวนกระแสแม่น้ำเนรัญชราขึ้นไป แต่พอลอยไปได้ 80 ศอก แล้วก็หยุดและจมลงสู่ก้นแม่น้ำ ที่ก้นแม่น้ำแห่งนี้เอง ว่ากันว่ามีถาดของพระโพธิสัตว์ที่เคยมาตรัสรู้แล้วสามพระองค์วางซ้อนกันอยู่ พอถาดของพระสิทธัตถโพธิสัตว์ลอยลงไปเป็นใบที่สี่ ก็จึงกระทบกันกับถาดสามใบก่อนหน้านั้นเกิดเสียงดัง “กริ๊ก” เสียงถาดกระทบกันนี้เอง ทำเอาพญา “กาฬนาคราช” ซึ่งหลับสนิทอยู่ใต้บาดาลงัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปล่งอุทานว่า

“แหม - - พระโพธิสัตว์มาตรัสรู้ใหม่อีกองค์หนึ่งแล้วหรือนี่ เมื่อวานก็มาตรัสรู้ไปแล้วหนึ่งองค์...”

อุทานเสร็จแล้ว พญากาฬนาคราชขี้เซาก็เข้าสู่นิทรารมณ์อย่างมีความสุขต่อไป โดยไม่สนใจหรือไม่กระตือรือร้นกับการมาถึงของพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่แม้แต่น้อย

เหตุการณ์ตอนนี้ ถ้าอ่านพุทธประวัติแบบไม่คิดอะไรก็จะทำให้เราพลาดสาระสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย แต่หากเราอ่านอย่างพิเคราะห์ก็จะพบว่า นี่คือเหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งในพุทธประวัติทีเดียว

ในทัศนะของผู้เขียนมองว่าเหตุการณ์ตอนนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในฐานะเรื่องราวตอนหนึ่งของพุทธประวัติเท่านั้น แต่เป็นเหตุการณ์อันควรแก่การถอดรหัสโดยแท้

เราเคยนึกกันบ้างหรือไม่ว่า พญากาฬนาคราชขี้เซาคือใคร

ใช่หรือไม่ว่า มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ นี่เองคือพญากาฬนาคราชตัวนั้น เรารู้กันดีว่าธรรมะที่ทรงตรัสรู้นั้นดีเพียงไร แต่แล้วเรากลับปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับ “โลกิยสุข” ที่ครอบงำเราอยู่อย่างไม่ยอมตื่นขึ้นมาเปิดตา เปิดหู เปิดใจ รับเอารสพระธรรมเข้าไปโสรจสรง ชำระจิตใจให้ใสพิสุทธิ์

พระพุทธองค์ทรงมาอุบัติในโลกนี้แล้วนับไม่ถ้วนพระองค์ แต่ก็คงมีมนุษย์เพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่ได้ “ดวงตาเห็นธรรม” ตื่นขึ้นมาจากความหลับใหลอันเกิดจากการครอบงำของกิเลส

คนส่วนใหญ่ต่างพากัน “ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล” คือ พวกเขาลืมตาตื่นอยู่ในโลกนี้ก็จริงอยู่ แต่ลึกลงไปภายในกลับมีจิตใจที่หลับสนิทอยู่กับอวิชชาที่นำหน้าโดยความโลภ โกรธ หลง ภพแล้วภพเล่า ไม่จบไม่สิ้น

รู้นะ ว่าธรรมะมีคุณค่าเพียงไร

รู้นะ ว่าธรรมะประเสริฐเลิศล้ำต่อชีวิตเพียงไร

แต่ - - เอาไว้โอกาสหน้าค่อยปฏิบัติธรรมก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่มีเวลา หรือตอนนี้งานยุ่ง เรามีเวลาเสมอสำหรับการเดินตามกิเลสอย่างเชื่องๆ แต่เรายุ่งเหยิงเสมอสำหรับการปฏิบัติธรรม

ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เอง แม้ธรรมะจะมีอยู่ ผู้แสดงธรรมจะยังคงมีอยู่ แต่ผู้บรรลุธรรมกลับมีเพียงหยิบมือเดียว

เราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า เราเป็นพญานาคขี้เซาตัวนั้นหรือเปล่า