การเกิดฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า

01 พฤษภาคม 2554

พระรัศมีทั้งหกมีความสวยงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง ลีลาที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ถ้าใครเห็นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเห็นยิ่งปีติ....

พระรัศมีทั้งหกมีความสวยงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง ลีลาที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ถ้าใครเห็นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเห็นยิ่งปีติ....

โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดถึงลักษณะและวิถีการแผ่ซ่านแห่งพระรัศมี 6 รัศมี (ฉัพพรรณรังสี) จากพระวรกายของพระพุทธเจ้า โดยพระรัศมีทั้งหกมีความสวยงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง ลีลาที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ถ้าใครเห็นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเห็นยิ่งปีติ ยิ่งเห็นยิ่งปราโมทย์ ยิ่งอัศจรรย์ใจ

สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน ดอกบัวเขียว ดอกผักตบ แววหางนกยูง และปีกแมลงภู่ เวลาที่แผ่ซ่านจากพระวรกายก็จะออกทางพระเกศาและพระโลมา (ผมและขน) ตามร่างกาย สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์และทองชมพูนุท ออกจากพระวรกายทางพระปฤษฎางค์ (หลัง) ซึ่งเมื่อออกแล้วสามารถแผ่ไปทั่วทิศ

สีแดง เหมือนน้ำครั่ง หิงคุ ดอกชบา และทับทิม แผ่ซ่านออกจากพระมังสะ (เนื้อ) พระโลหิต สีขาวเหมือนดอกพุดและสังข์ ออกจากพระวรกายทางพระเนตรขาว และพระทนต์

สีแสด เหมือนดอกอังกาบ ดอกชบาเทศ ดอกเทียนไทย และดอกทองฟ้า ซึ่งออกแสงเหมือนทองแดงที่ขัดอย่างดี แผ่ซ่านออกจากพระวรกายทางข้อพระหัตถ์และ นขะพระบาท (ข้อมือและเล็บเท้า) สีประภัสสร คล้ายดาวประกายพรึกและแก้วผลึก แผ่ซ่านจากพระอุณาโลม ณ พระพักตร์

พระรัศมีที่ออกก่อนคือสีเขียวสี ตามด้วยสีเหลือง สีแดง สีขาว สีแสด และสีเลื่อมพราย (ประภัสสร) เป็นลำดับ ในหลากหลายลีลาท่าทางที่แตกต่างกันไป บาง กลุ่มส่ายไปส่ายมา บางกลุ่มขึ้นบนลงล่าง ลงล่างแล้วขึ้นบน มองแล้วละลานตา

บางกลุ่มบาง บางกลุ่มหนาแน่นประสานกันไปมา บางกลุ่มพุ่งไปข้างหน้า บางกลุ่มพุ่งไปข้างหลัง บางกลุ่มหยุดนิ่งสงบอยู่กับที่ บางกลุ่มพุ่งขึ้นบน บางกลุ่มดิ่งลงข้างล่าง เป็นต้น ใครเห็นแล้วไม่เกิดอัศจรรย์ใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ขอบอกอีกครั้ง พระรัศมีดังกล่าวใช่ว่าจะได้เห็นกันทุกคน ผู้ที่จะมีโอกาสได้เห็นต้องเป็นบุคคลที่มีบุญมีวาสนาพอสมควรละครับ และต้องเป็นผู้ที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาจะที่ให้เกิดขึ้นปรากฏกับเขาผู้นั้นจริงๆ คือ บุคคลที่ต้องการเทศนาโปรด

แล้วพระฉัพพรรณรังสีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เชื่อว่าหลายคนอยากรู้ เพราะพระรัศมีที่เกิดจากพระวรกายของพระพุทธเจ้ามีความพิเศษแตกต่างจากรัศมีของเหล่าเทวดาและพรหมมาก ซึ่งของเทวดาและพรหมไม่อาจเทียบพระพุทธเจ้าได้ในทุกมิติ ทั้งความสวย การแผ่รัศมีออกจากกาย

รัศมีของเทวดาและพรหมสว่างไสวเหมือนกัน แต่ไม่สว่างเท่าพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าไม่มีขีดจำกัด สามารถส่องสว่างไปทั่วจักรวาล ทว่าในขณะเดียวกันหากทรงพระประสงค์ให้ปรากฏในวงจำกัดก็ทรงทำได้

ทีนี้มาว่ากันต่อถึงพระฉัพพรรณรังสีแต่ละอย่างว่าเกิดขึ้นมาด้วยอานุภาพอะไร

เริ่มที่พระรัศมีสีเขียวเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งทาน กล่าวคือพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น “พระเจ้าสีพี” ทรงควักพระเนตรออกให้เป็นทานแก่พระอินทร์ ซึ่งจำแลงตัวเป็นพราหมณ์มาขอ

สีเหลือง จากการที่ได้เฉือนเนื้อของพระองค์ให้กับพระอินทร์ซึ่งจำแลงเพศเป็นช่างทองตีแผ่แผ่นทองติดปิดพระพุทธรูป เมื่อครั้งเป็นวิริยบัณฑิต สีแดง จากการเอามีดผ่าอกยกหัวใจให้ปรุงเป็นยาแก่มารดาของตนซึ่งถูกงูกัดตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นชีวมานพและปทุมกุมาร

สีขาว จากการพระราชทานช้างเผือกปัจจัยนาเคนทร์แก่เมืองกาลิงคะ เมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร สีแสด จากการเชือดเนื้อให้เป็นทานแก่ยักษ์กินเป็นอาหาร เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นวิทยาธรได้

และพระรัศมีสีประภัสสร เกิดขึ้นจากการสละร่างกายโดยทอดกายลงไปในไฟที่พระอินทร์ก่อขึ้นให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์คนหนึ่ง เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นกระต่าย ชื่อ “สสบัณฑิต”

Thailand Web Stat