ความสุขโฉมใหม่ที่อยากแบ่งปันของThe Scenery Vintage Farm
เสียงดนตรีเบาๆ ที่คลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้า แสงเทียน
เสียงดนตรีเบาๆ ที่คลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้า แสงเทียน
โดย..ภาพ กัลยาวีร์ แววคล้ายหงษ์
และบรรยากาศที่เย็นสบายในช่วงตะวันลับขอบฟ้าของ The Scenery Vintage Farm ชื่อใหม่ที่เปลี่ยนมาจาก The Scenery Resort & Farm สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่ใครๆ ก็นึกถึงและใฝ่ฝันอยากจะสัมผัสและชื่นชมความสวยงามสไตล์วินเทจอย่างเต็มที่ พร้อมๆ กับการสูดอากาศดีๆ ได้อย่างเต็มปอด
แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้บริหารของ The Scenery อย่าง พลกฤษณ์ สุขเกษม ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ Project Manager และกิตติพัฒน์ สิทธัตถ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ตัดสินใจทิ้งรีสอร์ตหรูระดับห้าดาวที่ถูกจองเต็มตลอด 365 วันติดต่อกันหลายปี เพื่อ “เปิด” ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสกับความสุขสนุกสนานรูปแบบใหม่ที่ใหญ่และมากกว่าเดิม และสิ่งใดที่พวกเขาทั้งสามคนร่วมกันสร้างสรรค์และอยากแบ่งปัน
Travel Talk ฉบับนี้พร้อมพาท่านผู้อ่านเดินทางท่องโลกแห่งความสุขรูปแบบใหม่ที่มากกว่าการเลี้ยงน้องแกะ!!!!
ที่มาที่ไปของ The Scenery ก่อนการเปลี่ยนแปลง
กิตติพัฒน์ : ซินเนอรีเริ่มต้นจากการเป็นบ้านพักส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า “บ้านเฉลียวสุข” และหลังจากที่เราได้เปิดให้เพื่อนๆ มาสนุกสนาน คอนเซปต์คือ ให้ทุกคนมาแล้วมีความสุข เริ่มจากหนึ่งหลัง สองหลัง สามหลัง เพื่อนของเพื่อน ในที่สุดเปิดเป็นรีสอร์ตเมื่อ 8 ปีที่แล้ว พอหลังจากนั้นก็มีเสียงเรียกร้อง เต็มตลอดเวลา เพิ่มเป็น 10 วิลลา ในที่สนุกก็เต็มตลอด แต่ไม่สามารถจองห้องพักได้ ทำยังไงดี เฉพาะกิจกรรมด้านหน้า เลี้ยงน้องแกะ ถ่ายรูปมากสุดวันละ 5,000 Long Weekend เปิดแค่ด้านหน้า ซึ่งก็รองรับได้เท่านั้น แขกที่พักอยู่ที่นี่แค่ 20 คน และทุกคนที่มาอยากมาเยี่ยมชมและแชร์ความสุข เราจึงปรับปรุงจากรีสอร์ตมาเป็น Scenery Vintage Farm ในรูปแบบฟาร์มในฝัน มีกิมมิกมากขึ้น ตอนแรกเยี่ยมชมเฉพาะด้านหน้าได้ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ แต่ตอนนี้เราจะดูแลเรื่องของร้านอาหารให้รองรับมากขึ้น น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ขยายส่วนของฝากที่ระลึก “ชิปปี้ชิป” ให้กว้างขึ้น เนื่องจากมีคนเข้ามาเยอะมาก สุดท้ายคือเอาส่วนของบ้านมาปรับปรุงให้ทุกคนเข้ามาได้
ทำไมตัดสินใจเอาส่วนรีสอร์ตทิ้งไป ทั้งๆ ที่เต็มตลอดปี
กิตติพัฒน์ : ที่ผ่านมาเรามีร้านอาหารอยู่ด้านใน มีแขกที่พักด้านใน วันหนึ่งเมื่อแขกเยอะขึ้น มาชื่นชมบรรยากาศ ความเป็นส่วนตัวของแขกก็เริ่มน้อยลง เราก็เลยไปขยายด้านนอกมากขึ้น คนที่มาเที่ยวก็บ่นว่าเข้าไม่ได้ จองไม่ได้อีกแล้ว ตรงนี้เลยเป็นการบ้านใหญ่ของเรา 10 วิลลาที่เรามีมันก็ยังไม่พอต่อความต้องการ ถ้าอย่างนั้นเรามาเปิดเลยดีมั้ย เราก็แชร์กับทุกคน ปริมาณที่พักที่สวนผึ้งมีเยอะแยะ มีตั้งแต่ธรรมดาจนหรู สวนผึ้งถือว่าฮอตเลย เพราะฉะนั้นเราปิดเนี่ย 20 คนต่อคืน ถามว่ามันกระทบต่อคนที่ใช้บริการสวนผึ้งมั้ย ก็ถือว่าไม่ได้กระทบมาก แต่อยากให้มาเยี่ยมชมและแชร์ความสุขกันได้อย่างที่ทุกคนต้องการ ซึ่งนั่นก็ตอบโจทย์ของเราแล้ว
คิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มามากขึ้นไหม
กิตติพัฒน์ : เราเคยรับนักท่องเที่ยวมากที่สุดถึง 5,000 คนต่อวัน แล้วก็ค่อนข้างแออัดอยู่ด้านหน้า นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นหรือไม่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่มีความสุขมีมากขึ้นแน่นอน แต่เราก็พยายามทำสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับให้ ไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถ ร้านอาหารขยายมากขึ้น และเป็นอาหารจานด่วน เราอาจจะมีร้านไส้กรอก กาแฟ เบเกอรี อาจจะมานั่งชิล ชิล เราจะเพิ่มเพื่อรองรับคนที่มาเที่ยวสวนผึ้งให้ได้
เป็นเพราะเทรนด์ที่คนมาเที่ยวเลือกมาสวนผึ้งเยอะขึ้นเลยส่งผลให้เราเปลี่ยน
กิตติพัฒน์ : ผมคิดว่าเป็นการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสวนผึ้งมากขึ้น เราก็อยากจะแชร์ให้มากขึ้น เพราะคนมาที่นี่ก็เยอะขึ้น ถ้าเราปิดกั้นแค่ 20 คน ใน 10 วิลลา แล้วแขกมาแออัด แต่ถ้าเราเปิด เราจะแชร์ได้มากกว่า เราต้องทำแหละ คิดว่าเป็น Next Step ของเราแล้ว
ทำไมไม่เปิดทั้งวิลลาและคนเข้ามาข้างในด้วย
กิตติพัฒน์ : เสน่ห์ของที่พักของเราคือความเป็นส่วนตัว ถ้าเปิดให้แขกเข้ามาข้างในความเป็นส่วนตัวก็หายไป เราชั่งน้ำหนักแล้ว เราตอบโจทย์ทั้งสองแบบไม่ได้ เรามีพื้นที่อยู่ 40 ไร่เท่านั้น (คือได้อย่างเสียอย่าง) ใช่ เราก็ต้องยอม
ในส่วนของรีสอร์ต ที่พัก ที่นี่อะไรแตกต่าง
กิตติพัฒน์ : ในสไตล์ของที่นี่มีเอกลักษณ์ทั้งบริการ ห้องพัก มีแบบแปลกๆ ด้านใน 10 วิลลา 20 คน มีพนักงานดูแล 40 คน ดูแลความสะอาดอย่างดี อย่างสวนดูแลอย่างดี ทำตลอดเวลา โรงแรมห้าดาวใช้เวลาทำความสะอาดไม่เกินครึ่งชั่วโมง ที่นี่ใช้เวลาเก็บรายละเอียดที่นี่เยอะ และใช้ทีมงานมาก สิ่งนี้จึงสร้างความประทับใจให้แขกด้วยการใส่ใจรายละเอียด
หากนักท่องเที่ยวต้องการมาแบบวันเดย์ทริป สามารถทำอะไรได้บ้าง
กิตติพัฒน์ : สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์คือ การเลี้ยงน้องแกะ ยิงธนู ชิงช้าสวรรค์ ทอขนแกะ มีโปรดักต์จากแกะด้วย ที่เยอะขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องของน้ำนมแกะ ไม่มีที่ไหน เราจะทำไอศกรีมด้วย ร้านชา กาแฟ ร้านอาหาร ในเรื่องชั่วโมงเร่งด่วนอาจจะตอบโจทย์ได้ไม่ดี เราจะปรับปรุงพัฒนาเพิ่มมากขึ้น
คิดจะทำรีสอร์ต เอารีสอร์ตกลับมาไหม
พลกฤษณ์ : ต้องบอกก่อนว่าตัวรีสอร์ตเกิดมาจากความไม่ได้ตั้งใจ คนอาจจะคิดว่าต้องเป็นนักธุรกิจ เมื่อซินเนอรีเป็นรีสอร์ตจริง แล้วคิดว่าน่ามา แต่คนทำเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย เริ่มคิดว่าความสุขน้อยลงๆ เราเริ่มจากการชอบอยู่เงียบๆ ชอบบรรยากาศและอยากแบ่งปัน แต่เมื่อมีมาตรฐานทุกอย่างต้องฟิกซ์หมดว่าจะต้องอารมณ์แบบนี้ๆ นะ ผมคิดว่าหลังๆ มันมาไม่ใช่อารมณ์ที่แท้จริง
กิตติพัฒน์ : เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้น เรามองว่าสวนผึ้งเป็นที่ท่องเที่ยวที่หลายท่านต้องการมามากขึ้น จากแต่ก่อนคิดถึงสวนผึ้ง โอ๊ย...ไกล ใกล้ชายแดนหรือเปล่า แต่พอคนลองมาแล้วทุกคนประทับใจ และกลับไปพร้อมรอยยิ้ม จะเป็นวันเดย์ทริป แต่เราจะเป็นที่ที่เติมความสุขให้กับทุกคนได้
ไม่มองธุรกิจเป็นหลัก?
กิตติพัฒน์ : เราคิดจะทิ้งทุกอย่างเป็นความวุ่นวายที่ กทม. หุ้นส่วนทุกคนมีงานมีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ผมทำโชว์รูมรถยนต์ ออโต้เอ๊ก คุณธันวาก็ทำบริษัทอะไหล่รถยนต์ และทำร้านอาหารด้วยกัน เรามีครบหมดแล้วสำหรับความวุ่นวายยุ่งเหยิง ขอออกมาแล้วอยากหลุดเลย
อยากให้ธุรกิจสมดุลกับความสุขของเรา
กิตติพัฒน์ : อยากจะแชร์ความสุข อยากจะชาร์จแบตที่นี่ เมื่อก่อนมาลำบาก ตอนนี้มาง่ายขึ้น และตอบโจทย์ได้ง่ายเป็นที่ที่เหมาะมาก
มีอะไรปรับเปลี่ยนไปบ้าง
กิตติพัฒน์ : เราจะพัฒนามาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
พลกฤษณ์ : เราทำตามอารมณ์ อยากใส่อะไรก็ใส่ เราก็ต้องมีต้นทุนธุรกิจ มีตัว Make Money น่าจะมีตัวผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นตัวทำเงิน เราก็พอจะบ้าๆ บอๆ ต่อได้ (หัวเราะ)
พูดถึงการจัดคอนเสิร์ต มีรูปแบบอย่างไรบ้าง
กิตติพัฒน์ : มีคนอยากมาจัดกิจกรรมที่นี่เยอะ หลังจาก 30 เม.ย. ที่ปิดไปแล้ว เราจัดกิจกรรมได้รองรับคนได้ เรามาประจวบเหมาะกับที่เราเปิดเป็นฟาร์ม ก็เลยคิดธีมมาเป็น Music and Farm มีดนตรี มีกิจกรรม เยอะครับ ไม่ใช่แขกมารอคอนเสิร์ตอย่างเดียว มาได้ตั้งแต่เที่ยง อากาศดีๆ เอนนอนไปเลยก็ได้ เอาสิ่งที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายออกไป คนที่อยากจะจัดกิจกรรมก็จะมาได้ เรารองรับคนได้เยอะมาก ไม่จำกัด ส่วนการจัดกรรมต้องดูเรื่องของความพอดี เพราะเรายังไม่เคยลองเปิด ถ้าคนเยอะไปเรามันก็จะไม่สนุกทั่วถึงทุกคน
ถ้ารีสอร์ตอื่นมาทำที่พักในแบบของเรา จะเสียดายไหม
กิตติพัฒน์ : ที่นี่อยู่ในลักษณะอบอุ่น เป็นชมรมธุรกิจท่องเที่ยว ทำอะไรมีการประสานกัน มีกิจกรรมอะไรร่วมกันหมดเลย เราเคยร่วมกันจัดเทศกาล Candles in the Winter สองปีแล้ว เป็นพันธมิตรที่สนิทกัน ทั้งหมดมารวมตัวกัน จริงๆ ผมว่าเรื่องของธุรกิจมีความแข่งขัน ตอบโจทย์เราจะอยู่อย่างไร บางทีต้องมีการรวมกลุ่มกัน และถือเป็นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เหนียวแน่น เรามีความสามัคคีที่จะก้าวต่อไปเช่นกัน
วางธุรกิจของซินเนอรีในอนาคตต่อไปอย่างไรบ้าง
กิตติพัฒน์ : เราจะทำให้เป็นที่ท่องเที่ยว จัดกิจกรรม รองรับแขกที่มาสวนผึ้ง ไม่ใช่เฉพาะแขกของเรา เรารับทุกคน คนที่อยากเที่ยว มาสนุก มาดื่มกาแฟ ขนม ที่นี่เราจะมีทุกอย่าง เราจะจัดกิจกรรม อาจไม่ใช่กิจกรรมใหญ่ แต่เหมาะสมกับสถานที่ เป็นที่ที่ทุกคนมามีความสุข ได้รอยยิ้มกลับไป นี่คือเป้าหมายของเรา
ชัดเจนว่าหากก้าวเท้าเหยียบ The Scenery Vintage Farm สิ่งที่จะถูกแบ่งปันจากที่นี่ นั่นคือ ความสุขและรอยยิ้ม ตามปณิธานที่ทั้งสามคนได้ตั้งไว้
&<2288;
&<2288;