มัลดีฟส์ 2
เรายังคงอยู่ที่ประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ที่มีชื่อประเทศว่าประเทศมัลดีฟส์
เรายังคงอยู่ที่ประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ที่มีชื่อประเทศว่าประเทศมัลดีฟส์
เมื่อเรามาถึงที่นี่คงไม่อาจปฏิเสธในความงดงามของท้องทะเลของประเทศนี้ได้ แต่เมื่อเรามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เรากลับค้นพบว่ามีอีกแง่มุมหนึ่งที่มีความน่าสนใจ นั่นคือเรื่องของวิถีชีวิตในเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กของประเทศนี้ ที่มีชื่อว่า มาเล
กรุงมาเลตั้งอยู่บนเกาะมาเล ในบริเวณหมู่เกาะคาฟุ เป็นเมืองที่มีพื้นที่บนเกาะอยู่เพียง 2 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น และมีประชากรทั้งหมดของประเทศประมาณ 3 แสนคน ซึ่งกว่า 7 หมื่นคน อาศัยอยู่ในกรุงมาเล ซึ่งยังไม่รวมนักท่องเที่ยวอีกจำนวนหนึ่งที่มาพักแรมบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้
เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรบนเกาะ จึงได้มีการขยายพื้นที่บนเกาะให้เพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าของพื้นที่เดิม โดยการถมพื้นที่ให้ยื่นออกไปนอกทะเล และขยายไปจนชิดขอบแนวปะการังจนไม่สามารถขยายต่อไปได้อีก ดังนั้นอีกวิธีการที่พอจะทำได้ก็คือการสร้างตึกใหม่ๆ ให้สูงกว่าเดิม
ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการคมนาคมของประเทศ มีทั้งสนามบินนานาชาติ ท่าเรือพาณิชย์ ศูนย์รวมหน่วยงานราชการ สถานที่สำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของประเทศ
การคมนาคมของชาวมัลดีฟส์นั้น จะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลัก โดยทางรัฐบาลได้มีการจัดตั้งระบบขนส่งมวลชนที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมาเล และกระจายออกไปตามเกาะต่างๆ ท่าเรือที่มาเลแห่งนี้ ถือเป็นหัวใจหลักที่มีความสำคัญ ทั้งด้านการทำมาค้าขายและการคมนาคมของประเทศ
ประเทศมัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในสมัย 500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวมัลดีฟส์สืบเชื้อสายมาจากชาวดราวิเดียนและ ชาวสิงหล ซึ่งนับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอิทธิพลในประเทศมัลดีฟส์ โดยพระเจ้าศรี ตรีภุวรรณะ อทิติยะ (Sri Tribuvana Aditiya) ทรงมีความเลื่อมใสในศาสนาอิสลาม จึงทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า สุลต่าน นมุฮัมเมด อิบน์ อับดุลเลาะห์ (Muhammed Ibn Abdulla) จึงเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบการปกครองแบบสุลต่าน โดยในยุคแรกนั้นปกครองโดยราชวงศ์โสมวันสา ที่ปกครองเป็นเวลา 169 ปี ต่อมาเป็นราชวงศ์ วีรุ อุมรุ ปกครองเป็นเวลา 75 ปี ราชวงศ์หิลาลิ ปกครองเป็นเวลา 170 ปี ก่อนที่จะถูกชาติตะวันตกเข้ามายึดครอง อันประกอบไปด้วย โปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ตามลำดับ
ภายหลังต่อมาศาสนาอิสลามได้แผ่อิทธิพลไปอย่างกว้างขวาง จนมีการสร้างมัสยิดแห่งแรกของประเทศในกรุงมาเล ที่ชื่อว่า ธารุมาวัณธา ราชเกฟานุ มิสกีย์ และก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ทุกวันนี้ประชากรทั้งหมดของประเทศมัลดีฟส์ก็ยังคงนับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่ และทุกๆ วันศุกร์ที่นี่ก็จะดังก้องไปด้วยเสียงละหมาดจากมัสยิดกลางแห่งกรุงมาเล
เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้น ถือว่าเป็นรายได้อันดับ 1 ของประเทศนี้ แต่ถ้าหากถามว่ารายได้อันดับ 2 ของประเทศมัลดีฟส์คืออะไร คำตอบก็คือการประมง โดยเฉพาะการส่งออกปลาทูน่า ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากติดอันดับโลก เนื่องจากที่นี่มีแหล่งปลาทูน่าจำนวนมาก และรัฐบาลมัลดีฟส์ก็มีการกำหนดเงื่อนไขที่จะเข้าไปจับปลาในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยชาวประมงต้องเสียค่าใบอนุญาต (License Fee) และต้องจับปลาในระยะห่างจากฝั่งอย่างน้อย 78 ไมล์ โดยจับได้ไม่เกินปีละ 1.5 หมื่นตัน มิหนำซ้ำยังกำหนดให้ชาวประมงใช้วิธีจับปลาแบบดั้งเดิมเพื่อเป็นการรักษาระบบนิเวศให้ถูกทำลายน้อยที่สุด
ด้วยภูมิประเทศของประเทศนี้ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 2-3 เมตรในปัจจุบันนี้ คำถามที่ตามมาเกี่ยวกับเรื่องของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อประเทศนี้ เขาบอกว่าประเทศนี้กำลังจะจมทะเลในเร็วๆ นี้ จะเป็นจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังติดตาม
ในปัจจุบันภาวะโลกร้อนกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก อันเนื่องมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ ที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางธรรมชาติมากมาย เช่น ปรากฏการณ์เอลนินโญ ลานินญา สึนามิ และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาวะโลกร้อนส่งผลให้อุณหภูมิของโลกนั้นสูงขึ้น และทำให้ธารน้ำแข็งจากขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้น และประเทศแรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวก็คือประเทศมัลดีฟส์ เนื่องจากมัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีลักษณะแบนราบ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียง 2-3 เมตรเท่านั้น
จึงมีการคาดการณ์ไว้ว่าระดับน้ำทะเลที่สูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1-2 เซนติเมตร จะทำให้หมู่เกาะมัลดีฟส์อาจจมหายไปในมหาสมุทรในอีกไม่ถึง 80 ปีข้างหน้านี้ และมัลดีฟส์อาจจะไม่ปรากฏบนแผนที่โลกอีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้นภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำลายแนวปะการังที่เคยเป็นแนวป้องกันคลื่นกระทบฝั่งจนเกิดการพังทลายของพื้นที่ชายฝั่ง กระทบต่อระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตในทะเลและเกิดน้ำท่วมได้บ่อยครั้ง
รัฐบาลของประเทศมัลดีฟส์ตระหนักถึงอนาคตของประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้น โดยรัฐบาลก็มีนโยบายแก้ปัญหาหลายวิธี เช่น มาตรการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และการรณรงค์ให้ใช้พลังงานหมุนเวียน และมีการเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง โดยการสร้างความสนใจด้วยการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีใต้น้ำ เพื่อรณรงค์ให้โลกเห็นถึงภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน
สิ่งหนึ่งที่พวกเราสัมผัสได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของน้ำจิตน้ำใจและมิตรไมตรีของผู้คนที่มีต่อผู้มาเยือน ต่อให้ประเทศนี้เป็นประเทศมุสลิม แต่ว่าน้ำจิตน้ำใจที่มีให้กับพวกเราต้องบอกว่าดีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว