ศาลเลื่อนฟังคำสั่ง"ธนาธร-อนค."ฟ้องกกต.ร้องยุบพรรคปมเงินกู้ มิชอบเป็น 2 เม.ย.
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง เลื่อนนัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้องคดี "ธนาธร-อนาคตใหม่" ฟ้อง 14 กกต.- จนท. ทำคดียุบพรรคไม่ชอบ เป็น 2 เม.ย. หลังกกต.ส่งเอกสารแจงตามศาลสั่งแล้ว รอผลวินิจฉัยคดีศาล รธน. 21 ก.พ.นี้ ประกอบพิจารณาคำฟ้องอีกครั้ง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 กพ. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดพร้อมเพื่อคำสั่ง/คำพิพากษาชั้นตรวจคำฟ้อง คดีหมายเลขดำ อท.185/2562 ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และ พรรคอนาคตใหม่ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเกรียงศักดิ์ ม่วงอ่อน ประธานคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคดียุบพรรค อนค. ,นายนิยต ดำรงประภักดิ์ ,นายสุชาติ เพชรอาวุธ ทั้งสองเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวน , พ.ต.ต.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. , นางสุกัญญา รัตนนาคินทร์ , พล.ท.สมชาย ชัยวณิชยา ,พ.ต.อ.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ ทั้งสาม เป็นคณะอนุกรรมการวินิจฉัย , นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. , นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ , นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย , นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี , นายปกรณ์ มหรรณพ , นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ , นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ทั้งเจ็ดเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นจำเลยที่ 1-14 ซึ่งยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.62 ที่ผ่านมานั้น
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 69 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 86 กรณีมีการทำสำนวนคดียุบพรรค อนค.ไม่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอน มีลักษณะเร่งรัดคดี
โดยวันนี้ทนายโจทก์มาศาล
ขณะที่ ตามที่ศาลมีหนังสือลงวันที่ 6 ม.ค.63 ถึงสำนักงาน กกต. ให้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น สำนักงาน กกต. ก็ได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงถึงศาล ซึ่งศาลได้แยกเก็บเป็นเอกสารลับห้ามคู่ความตรวจสอบและคัดถ่ายโดยเด็ดขาด
ขณะที่วันนี้ศาลสอบถามฝ่ายโจทก์แล้ว แถลงรับว่าศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันศุกร์ที่ 21 ก.พ.นี้ จึงให้ฝ่ายโจทก์ส่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนญต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง ภายใน 30 วันนับแต่วันนี้ และเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม"ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง" จึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เวลา10.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ พรรคอนาคตใหม่ ได้ระบุพฤติการณ์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 8 ก.ค.-11 ธ.ค.62 คณะกรรมการ กกต.จำเลยที่ 8-14 ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1-3 ให้เป็นประธานกับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เพื่อรวบรวมหลักฐานและแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องกล่าวหานายธนาธร หัวหน้าพรรคและพรรค อนค.โจทก์ที่ 1-2 ว่ากระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองหรือไม่ โดยอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ให้พรรคอนค.โจทก์ที่ 2 กู้ยืมเงินจำนวน 191,200,000 บาท โดยประธานและคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จำเลยที่ 1-3 ทราบระเบียบแล้วแต่ไม่ได้กระทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอน กลับร่วมกันทำรายงานการไต่สวนพร้อมทั้งสรุปสำนวนการสืบสวนและไต่สวนเสนอจำเลยที่ 4 เพื่อพิจารณาทั้งที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับโจทก์ทั้งสอง จึงถือได้ว่ายังไม่มีการไต่สวนตามกฎหมายและเป็นการละเว้นการกระทำอันมิชอบ
ขณะที่เลขาธิการ กกต.จำเลยที่ 4 ก็ทราบดีอยู่แล้วว่ายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการหรือสั่งการให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดำเนินการแจ้งข้อกล่าวแก่โจทก์เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 4 ส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 5-7 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการวินิจฉัย อันเป็นการเร่งรัดคดีกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองต่อไป ส่วนจำเลยที่ 5-7 ก็มีมติเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลที่มีเขตอำนาจดำเนินการต่อไปและส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 8-14 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ กกต.พิจารณาโดยไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน โดยหากจำเลยที่ 5-7 เห็นว่าสำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนยังไม่ถูกต้องก็มีอำนาจส่งเรื่องกลับไปให้เลขาธิการ กกต.จำเลยที่ 4 ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือมอบหมายให้จำเลยที่ 1-3 ดำเนินการ
ส่วนคณะกรรมการ กกต.จำเลยที่ 8-14 ก็ทราบอยู่แล้วว่าสำนวนการสืบสวนและไต่สวนยังไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับร่วมกันลงมติให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามสำนวนการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว โดยมีมติเสียงข้างมากให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค อนค.โจทก์ที่สอง มติของจำนวนที่ 8-14 จึงเป็นผลมาจากการร่วมกันกระทำโดยจงใจละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองที่ถูกริดรอนสิทธิที่จะรับทราบข้อกล่าวหา , ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา , เสนอพยานหลักฐาน หรือต่อสู้คดีตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรม