posttoday

ถอดรหัสกองกำลังเดือดที่หลักสี่

05 กุมภาพันธ์ 2557

จากการหาข่าวหลังเกิดเหตุพบว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ มีกองกำลังรวมทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน แบ่งเป็นของกปปส. 3 กลุ่ม และกลุ่มเสื้อแดงอีก 1 กลุ่ม

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ห่ากระสุนเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ถูกกระหน่ำออกจากปลายปากกระบอกปืนนานาชนิดที่บริเวณสี่แยกหลักสี่ ปานเป็นดงสมรภูมิของสงครามกลางในกรุงเทพมหานคร ในช่วงเย็นวันที่ 1 ก.พ.2557  เมื่อสองกลุ่มที่ต่างความคิดเห็นทางการเมืองมาเผชิญหน้ากัน ด้วยกลุ่มที่คัดค้านการเลือกตั้งหรือกลุ่มกปปส. พบปะกันกับกลุ่มที่สนับสนุนการเลือกตั้ง หรือกลุ่มเสื้อแดง ความรุนแรงจึงประจักษ์ขึ้นมาต่อสายตาชาวโลก

ด้วยภาพนิ่ง คลิปวีดีโอ ถูกถ่ายจากทั้งสื่อมวลชนและกลุ่มประชาชนที่เผอิญเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ปรากฎภาพถึงความรุนแรงเมื่อเล่นกันหนักถึงกับขนอาวุธสงคราม ทั้งปืนทราโว่ อาก้า ลูกซองยาว หรือปืนสั้นนานาชนิดและขนาดเข้าลั่นไกต่อกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญภาพมือปืนกระสอบปุ๋ย ก็โด่งดังขึ้นมาด้วยท่วงท่าลีลาที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีความชำนาญในการด้านการใช้อาวุธอย่างชัดแจ้ง

น่าสนใจว่า ทำไมอาวุธหนักขนาดนี้ถึงมีอยู่ในมือของแต่ละกลุ่ม และกลุ่มที่ก่อเหตุ เป็นพวกไหนกันแน่ !!!

ถอดรหัสกองกำลังเดือดที่หลักสี่

คำตอบจากชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ต้องลงทำคดีที่สองกลุ่มห้ำหั่นกันครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพของกองกำลังแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน บวกกับน้ำหนักของฝั่งตำรวจโดยพล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผบช.น. ที่ออกมาให้ข้อมูลว่า กระสุนทั้งหมดถูกยิงจากฝั่งของมวลชนกปปส.เข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้

ขณะที่พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.) ระบุว่า มีกระสุนจำนวน 48 รอย ออกมาจากปืนรวม 7 ชนิด คือ 1.ปืนลูกซอง 2.ปืนขนาด .38 3.ปืนขนาด 9 มม. 4.ปืนขนาด .45 5.ปืนคาร์บิน 6.ปืนความเร็วสูงที่ใช้กระสุน ขนาด .223 และ 7.ปืนอาก้า และพบว่ารอยกระสุนถูกยิงมาจากฝั่งของกปปส.มากกว่า 30 รอย ขณะที่ฝั่งเสื้อแดงหรือกลุ่มที่สนับสนุนการเลือกตั้งมีเพียงไม่ถึง 10 รอยเท่านั้น

ย้อนกลับไปดูคำตอบของชุดสืบสวนนครบาลที่ให้ข้อมูล ระบุว่า จากการหาข่าวหลังเกิดเหตุพบว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ มีกองกำลังรวมทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน แบ่งเป็นของ กปปส. 3 กลุ่ม และ กลุ่มเสื้อแดงอีก 1 กลุ่ม หากชำแหละไปทีละกลุ่ม โดยเริ่มจาก 3 กลุ่มแรกของกปปส. จะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น คือ

กลุ่มที่ 1 กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “ซีลราชสิทธิ์” การข่าวของตำรวจพบว่าเป็นกลุ่มนักเรียนอาชีวะ และอดีตนักเรียนช่าง ซึ่งอยู่กับกลุ่มคปท.มานานแล้ว ตำรวจสืบทราบว่าได้มีการฝึกและเรียนรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนสั้นมาพอสมควรจากการ์ดคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม ซึ่งตำรวจกำลังตามดูพฤติกรรมอยู่ ในวันเกิดเหตุกลุ่มพวกนี้จะใช้อาวุธปืนสั้นพกเป็นหลัก และอาวุธที่ใช้กันน่าจะมาจากกลุ่มคนมีสีกลุ่มหนึ่งที่ให้การสนับสนุน รวมถึงอดีตนายตำรวจกลุ่มหนึ่งที่คัดค้านการเลือกตั้งด้วย

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มการ์ดของกปปส.เอง จะเห็นได้ว่าวันเกิดเหตุมีการ์ดของกปปส.มีคนถือปืนลูกโม่สวมปลอกแขนสีเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มกปปส. ทิศทางการยิงของชายคนดังกล่าวพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดง แสดงให้เห็นถึงว่าแกนนำยังไม่สามารถคุมการ์ดได้ดีพอ และยังมีอาวุธอยู่ในการชุมนุม

นายตำรวจชุดสืบสวนคนเดิม บอกอีกว่า มาถึงกลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมาก เพราะกลุ่มคนพวกนี้เล่นหนักถึงอาวุธสงคราม มีทั้งอาก้า ลูกซองยาว ปืนเคบิน รวมถึงปืนทราโว่ที่แอบไว้ในกระสอบปุ๋ยที่มีภาพปรากฎด้วย การข่าวพบว่าเป็นกลุ่มของคนมีสี หรืออาจจะเป็นคนมีสีเองที่ก่อเหตุด้วย ที่สำคัญคือมีวิธีการมียุทธวิธีในการเข้าโจมตีเป็นอย่างเฉพาะ

ถอดรหัสกองกำลังเดือดที่หลักสี่

“กลุ่มที่ 3 นี้เราดูพฤติกรรมการก่อเหตุ และน่าจะเชื่อมโยงได้ว่าต้องเป็นคนที่รู้จักการใช้อาวุธ มีคนชี้เป้าหรือคนคอยสังเกตการณ์ให้ กลุ่มนี้น่าจะมีอยู่ราว 40-50 คน แม้ว่าปืนพวกนี้จะหาได้ในตลาดมืด แต่ต้องเป็นคนที่รู้แหล่งชัดเจนจริงๆ เท่านั้นถึงจะซื้อหาได้” ชุดสืบสวน ย้ำ

ส่วนกลุ่มที่ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มของคนเสื้อแดง ตำรวจบอกว่าการเคลื่อนตัวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาเผชิญหน้าที่แยกหลักสี่ แน่นอนว่ามีกลุ่มที่พกอาวุธเข้ามาด้วย แต่เป็นปืนสั้นเท่านั้น ส่วนกลุ่มนี้ก็พอรู้กันอยู่ว่าเป็นใครบ้าง แต่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องให้ชัดเจนมากกว่านี้ ทุกกลุ่มก็เช่นกัน

แต่อีกมุมคือรถขนอาวุธที่นำมาให้กลุ่มคัดค้านการเลือกตั้ง รถคันดังกล่าวรูปลักษณ์เป็นรถขนเงินคันสีขาวถือว่าเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ ด้วยว่า ภาพรถที่มีการแพร่ออกไปภายในบรรจุเสื้อเกราะ หมวก และอาวุธปืน จนกลายเป็นประเด็นว่ารถคันดังกล่าวนั้นมาจากไหน

หากย้อนกับไปเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคปท.กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อต้นเดือนธันวาคมปี 2556  บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ ซึ่งมีกลุ่มคปท.และกลุ่มเด็กอาชีวะที่เรียกตัวเองว่า “หน่วยซีลราชสิทธ” รถคันนี้ก็ปรากฎในเหตุการณ์นั้นด้วย และเคยถูกตำรวจทุบพังจนเสียหายทั้งคันขณะจอดอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพณิชยการพระนคร กระทั่งมาพบรถคันนี้อีกครั้งที่เหตุการณ์หลักสี่

ถอดรหัสกองกำลังเดือดที่หลักสี่

รถคันเดิมกับมาโลดแล่นใช้การได้อีกครั้ง ในเหตุการณ์ ปะทะกันที่แยกหลักสี่   ทั้งยังปรากฎภาพในคลิปขณะลำเลียงอาวุธปืนขึ้นใส่ท้ายรถ นั่นหมายความว่ารถขนเงินคันสีขาวนั่นเป็นรถที่ “หน่วยซีลราชสิทธ”  ใช้ปฏิบัติการณ์พิเศษในช่วงภาวะไม่ปกติ  เพราะหน่วยซีลราชสิทธิ เป็นกองกำลังติดอาวุธ ทำหน้าที่การ์ดอาสา ที่เรียกตัวเองว่า หน่วยซีลราชสิทธ  โดยมีเด็กช่างกลวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม  และการรวมกันของกลุ่มศิษย์เก่าและปัจจุบันที่ร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หน่วยซีลนี้จะมีสัญลักษณ์รูปองค์เทพพระวิษณุกรรมสกรีนลงบนเสื้อด้านหลัง ใต้รูปเขียนคำว่า “หน่วยซีล ราชสิทธ” กลุ่มนี้มีคดิประจำใจคือ “ขอให้องค์เทพพระวิษณุกรรมเจ้า เทพแห่งช่าง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าทวยเทพต่างๆ ช่วยคุ้มครองปกปักรักษาผู้ที่ทำดี อุทิศตนเสียสละเพื่อประชาชน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"