"พ.ร.บ.คู่ชีวิต" นิยามใหม่ของ "ครอบครัว" คนหลากเพศ
ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิต ใครจะอยู่ในขอบเขตผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ
ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิต ใครจะอยู่ในขอบเขตผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ
***************************
โดย...เอกชัย จั่นทอง
แม้ว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับหลักการร่าง พ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิตพ.ศ. ... แต่ทว่าตอนนี้ร่างดังกล่าวก็ยังมีบางส่วนที่ถูกมองว่าย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต ที่ให้สิทธิกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งเริ่มร่างขึ้นตั้งแต่ปี 2555 แต่ก็ต้องสะดุดลง เนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ปะทุในเวลานั้น ทำให้พลิกผันเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นความหวังของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
ในฐานะผู้ที่เคยคลุกคลี มีโอกาสร่วมร่าง พ.ร.บ.นี้ เกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้เล่าถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้ โดยระบุว่า ต้องยอมรับว่าปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.นี้ได้ถูกเซตซีโร่ใหม่ หรือเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมดหลังจากถูกตีกลับจากกระทรวงยุติธรรมให้ไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มความชัดเจนขึ้น
จากข้อมูลทราบว่า ขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการจากทุกภาคส่วน องค์กร รวมกว่า 30 คน จะเข้าช่วยออกแบบออกความเห็นเพื่อไปประกอบพัฒนาเป็นร่างกฎหมาย จากนั้นจะส่งให้คณะกรรมการจากภาคส่วน องค์กร กว่า 30 คน ได้พิจารณาดูอีกครั้ง แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายร่างกฎหมายขึ้น โดยความเห็นส่วนตัวคาดว่าจะใช้ชื่อร่างกฎหมายฯ ใหม่ว่า “พ.ร.บ.คู่ชีวิต” เพราะคำว่า “จดทะเบียน” อาจยังเหมือนการตีตราอยู่
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 หรือภายในปีนี้ เพื่อเสนอส่งเข้าแผนพัฒนากฎหมาย ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเพื่อนำเข้าสภาต่อไป
“ตอนนี้ทราบว่าอยู่ระหว่างกระบวนการวิจัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โดยให้ทาง UNDP เป็นผู้ทำวิจัยศึกษาแนวทางการพัฒนาร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิต ให้ชัดเจนกว่าเดิมเน้นทำอย่างรอบด้าน และคนทุกกลุ่มไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศเท่านั้น
เพื่อความรอบคอบ ต้องมีข้อมูลรองรับชัดเจนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ รวมถึงให้ไปศึกษาโมเดลการสมรสของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศใหม่ว่าการใช้ชีวิตของคนเพศเดียวกันจะทำยังไง ไม่ใช่แค่คู่รักชายหญิงทั่วไป และศึกษาผลกระทบทางด้านศาสนา”
สำหรับร่างกฎหมายนี้ต้องการทราบความชัดเจนว่าความต้องการของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องการสิ่งใด เพื่อให้กฎหมายเกิดความลงตัวที่สุด ก่อนจะออกกฎหมายบังคับใช้ ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งตามมาได้ ตอนนี้จึงรอผลวิจัยจาก UNDP จะส่งงานวิจัยทั้งหมดให้ประมาณเดือน พ.ค.นี้” เกิดโชค กล่าวโดยย้ำว่า เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว
นอกจากนี้ ยังได้คาดการณ์ว่า สาระสำคัญในร่างกฎหมายฯ ฉบับใหม่นี้จะไม่ผิดเพี้ยนไปจากร่างกฎหมายเดิม โดยใจความสาระสำคัญที่คำนึงถึง คือ การเล็งเห็นถึงการก่อร่างตั้งครอบครัว โดยมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้องให้กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่มีอยู่จำนวนมากในปัจจุบัน และเชื่อว่าร่างกฎหมายใหม่ต้องไปตอบโจทย์หลายด้าน โดยพุ่งเป้าไปที่การอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา มีสิทธิต่างๆ หลังอยู่ร่วมกัน เช่น ทรัพย์สิน ประกันชีวิต มรดก ค่ารักษาพยาบาล ลดหย่อนภาษี ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ข้อสังเกตสำคัญอีกจุดหนึ่ง ก็คือ ผู้ที่จะใช้ร่างกฎหมายนี้ หากมีการบังคับใช้จริงแล้วจะตรวจสอบอย่างไรว่าชายหรือหญิงคนนั้นๆ อยู่ในกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจริง จึงเป็นเรื่องยากไม่น้อย
“ตัวอย่างเช่น ชายกับชายที่จดทะเบียนกับชาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นชายรักชายจริง อาจแอบอ้างเพื่อต้องการเข้ามาใช้สิทธิค่าพยาบาล หรือสิทธิอื่นๆ จึงเป็นข้อกังวลของภาครัฐว่าอาจมีคนแอบอ้างเข้ามาใช้สิทธิกฎหมายนี้ ดังนั้นคำจำกัดความของคนเหล่านี้คืออะไรสิ่งใดเป็นเครื่องการันตีว่าเป็นชายรักชายจริง” เขากล่าว
แต่กรณีที่กล่าวมา เกิดโชค ได้แนะวิธีการตรวจสอบว่า ต้องมีการทดลองอยู่กัน 3 ปีก่อนหรือไม่ หรือตรวจใบแพทย์เพื่อรับรอง แต่ก็อาจถูกโจมตี ว่าแนวคิดนี้อาจจะเหมือนการตีตรากลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นอุปสรรคหนึ่งในการร่างกฎหมาย ท้ายที่สุดร่างกฎหมายฯ นี้ต้องป้องกันไม่ให้รัฐเสียผลประโยชน์ด้วย
รองอธิบดีฯ ท่านนี้ ยังให้ความเห็นอีกว่า สถานการณ์ความหลากหลายทางเพศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น นับเป็นสิทธิพึงมีพึงเกิดตามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน สภาพปัญหาในมุมปฏิบัติของประเทศไทยไม่ได้เลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเหมือนที่เกิดขึ้นในบางประเทศ
“คนกลุ่มนี้ในประเทศไทยจึงไม่รู้สึกว่าถูกจำกัดสิทธิ มีอิสระ แต่เพียงแค่คนบางกลุ่มที่อยากจะก่อตั้งครอบครัวให้มีการรองรับทางด้านครอบครัวและสิทธิอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมาเท่านั้น ถ้ามองอีกมุมคนเข้าใจว่ามันคือกฎหมายทางเลือก เลือกที่จะใช้หรือไม่ใช้ สมมติแค่เราคิดว่า คบหากันเท่านั้นก็ไม่ต้องใช้กฎหมายนี้ แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องการก่อตั้งเป็นครอบครัวแบบหญิงชายทั่วไป ก็มาใช้กฎหมายฉบับนี้”
เกิดโชค กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ คือ โอกาสของสังคมไทยเปิดมาตลอด จากเดิมย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน แค่พูดเรื่องจดทะเบียนแต่งงานยังไม่มีใครกล้าพูด หรือแค่พูดให้สังคมยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศก็ไม่มีใครกล้าพูด แต่ในนาทีนี้ เราก้าวกระโดดจากจุดนั้นมาแล้ว
ในที่สุดก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นกำลังเปิดกว้างและเป็นเทรนด์โลกไปแล้ว จึงคิดว่าประเด็นนี้จะเป็นเรื่องปกติในสังคม ท้ายที่สุดแล้ว ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิต ใครจะอยู่ในขอบเขตผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ