ลุงแซมตกยาก เศรษฐกิจแย่ คนจนพุ่ง

16 กันยายน 2554

เป็นที่ฮือฮาไม่น้อย เมื่อองค์กร “เซ็นซัส บูโร” ในสหรัฐ เปิดเผยรายงานการสำรวจพบว่า

เป็นที่ฮือฮาไม่น้อย เมื่อองค์กร “เซ็นซัส บูโร” ในสหรัฐ เปิดเผยรายงานการสำรวจพบว่า

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

เป็นที่ฮือฮาไม่น้อย เมื่อองค์กร “เซ็นซัส บูโร” ในสหรัฐ เปิดเผยรายงานการสำรวจพบว่า ประชากรสหรัฐที่อยู่ต่ำกว่าเส้นยากจนในปี 2553 มีจำนวนพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 15.1% แล้ว เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536 อันเป็นผลสะท้อนถึงความยากลำบากจากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา กำลังส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชากรสหรัฐเป็นส่วนใหญ่

จำนวนประชากรยากจนในกลุ่มคนวัยทำงาน ช่วงอายุระหว่าง 18-64 ปี ยังเพิ่มขึ้นไปที่ 13.7% จากเดิมที่ 12.9% เมื่อปีที่แล้ว เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ยุค 1960 เสียด้วย โดยครอบครัวที่มีรายได้ระดับปานกลางได้ลดลง 2.3% มาอยู่ที่ 49,445 เหรียญสหรัฐต่อครัวเรือน

ลุงแซมตกยาก เศรษฐกิจแย่ คนจนพุ่ง

ความยากจนที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐนั้น ยังกระจายไปในประชากรทุกกลุ่มเชื้อชาติ ยกเว้นแต่กลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเท่านั้น

โดยสัดส่วนของคนผิวขาวยากจนเพิ่มมากขึ้นไปที่ 13% กลุ่มคนผิวสีและเชื้อสายละตินจะมีอัตราความยากจนมากกว่ากลุ่มเชื้อชาติอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้นที่ 27.4% และ 26.6% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อเท็จจริงถึง “เส้นแบ่งความยากจน” ของสหรัฐนั้นมีความแตกต่างกับเส้นแบ่งความยากจนของโลกอย่างชัดเจนในด้านรายได้

พูดง่ายๆ คือ “ความจนแบบสหรัฐ” นั้นแตกต่างจากคนอื่นในโลก

ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้กำหนดเส้นแบ่งความยากจนไว้อย่างชัดๆ 2 ระดับ ระดับแรก คือ เส้นความยากจนแบบสุดขั้ว คือ ประชากรโลกที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.25 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ประมาณ 37 บาท) หรือคิดเป็นรายได้ต่อปีที่ 456 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,680 บาท)

ระดับต่อมา คือ เส้นความยากจนในระดับปานกลาง คือ ประชากรโลกที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่า 2 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ราว 60 บาท) หรือ 730 เหรียญสหรัฐต่อปี (ราว 2.19 หมื่นบาท)

เมื่อสิ้นปี 2553 ที่ผ่านมา จำนวนประชากรโลกที่อยู่ใต้เส้นความยากจนอย่างสุดขั้วนั้นมีอยู่ถึง 89 ล้านคน ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในเอเชียและแอฟริกา และจากผลกระทบต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมา ก็กำลังสร้างความลำบากให้กับประชากรกลุ่มนี้มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันก็หันมาพิจารณาถึงคำจำกัดความของสหรัฐถึงคำว่า “ความยากจน” แบบอเมริกันชน จะเห็นว่าสหรัฐจำกัดความถึงครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกราว 4 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 22,314 เหรียญสหรัฐ (ราว 669,420 บาท) ว่านั้นคือครอบครัวที่ยากจนแล้ว

สำหรับประชากร 1 คน ที่มีรายได้ต่ำกว่า 11,139 เหรียญสหรัฐต่อปีต่อคน (ราว 334,170 บาท) นั่นก็ถือว่าเป็นคนจนแล้วสำหรับสหรัฐ

เมื่อคิดเฉลี่ยเป็นรายได้ต่อวัน จะเท่ากับว่า ชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำกว่า 30.51 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ราว 915 บาท) นั้นเข้าข่ายเป็นบุคคลยากจน

เมื่อเทียบกับคนจนในโลก จะเห็นว่าคนจนของสหรัฐนั้นยังมีรายได้มากกว่าประชากรยากจนตามเส้นแบ่งของธนาคารโลกถึง 24 เท่าตัว...!

ขณะเดียวกันหากพิจารณาถึงรายได้เฉลี่ยประชากรต่อหัวต่อปีของสหรัฐ ตามข้อมูลของธนาคารโลกเมื่อปี 2553 นั้น ประชากรสหรัฐมีรายได้ต่อหัวต่อปีที่ 47,084 เหรียญสหรัฐ (ราว 1.4 ล้านบาท) รั้งตำแหน่งประเทศที่ประชากรมีรายได้สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก

ขณะที่รายได้ประชากรไทยต่อหัวต่อปี อยู่ที่ 8,612 เหรียญสหรัฐเท่านั้น (ราว 2.58 แสนบาท)

ดังนั้น แม้ว่าสหรัฐจะมีคนจนเพิ่มสูงขึ้น (ตามเส้นแบ่งความยากจนของสหรัฐเอง) มากที่สุดในรอบ 18 ปี แต่ก็ยังถือว่าชาวอเมริกันมีรายได้เฉลี่ยมากกว่าคนไทยถึง 5.5 เท่าตัว มากกว่าชาวจีน 6.2 เท่าตัว และมากกว่าชาวอิรัก 13 เท่าตัว

ซ้ำร้าย ความจนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับความสุดยอดแห่งความยากจนใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก อาจจะพูดได้ว่า เป็น สวรรค์ กับ นรก ชัดๆ

ทั้งนี้ ตามความหมายของธนาคารโลก ประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศยากจนนั้น คือ ประเทศที่มีรายได้ประชาชนต่ำกว่า 765 เหรียญสหรัฐต่อหัวต่อปี (ราว 2.3 หมื่นบาท) ซึ่งจะเห็นได้ว่า 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกนั้น ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในแอฟริกาและตามหมู่เกาะเล็กๆ

เอธิโอเปียรั้งอันดับ 10 ประเทศยากจนที่สุดในโลก รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ มีประชากรยากจนต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนสูงถึงกว่า 30 ล้านคน ไนเจอร์ครองอันดับ 9 ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐเช่นกัน โดย 60% ของประชากรทั้งหมดมีรายได้ต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐ

สาธารณรัฐแอฟริกากลางครองอันดับ 8 ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 700 เหรียญสหรัฐ อายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ระหว่าง 43.4643.62 ปีเท่านั้น ประเทศกินีบิสเซามีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 600 เหรียญสหรัฐ

อันดับ 6 ตกเป็นของสหพันธ์สาธารณรัฐอิสลามคอโมโรส ด้วยรายได้เฉลี่ย 600 เหรียญสหรัฐต่อหัวต่อปี อันดับ 5 คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยโซมาลี รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ อันดับ 4 คือ หมู่เกาะโซโลมอน รายได้เฉลี่ย 600 เหรียญสหรัฐต่อปี อันดับ 3 ตกเป็นของสาธารณรัฐซิมบับเว ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 500 เหรียญสหรัฐ อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐไลบีเรีย ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 500 เหรียญสหรัฐ

ประเทศยากจนที่สุดในโลกตกเป็นของสาธารณรัฐคองโก ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 300 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 900 บาทต่อปีเท่านั้น

หรือคิดเป็นเฉลี่ยมีรายได้ที่ 0.82 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ราว 2.46 บาทต่อวัน) คนคองโกจนกว่าคนอเมริกันถึงกว่า 36 เท่าตัว !

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการเปรียบเทียบที่ตัวเลขรายได้แบบบัญญัติไตรยางศ์เช่นนี้ ไม่สามารถนำผลมาอ้างอิงได้อย่างแน่นอน ในเมื่อแต่ละประเทศมีค่าครองชีพที่แตกต่างกัน โดยที่ค่าครองชีพในสหรัฐนั้นอยู่ในระดับสูงกว่าในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

เงินเพียง 1 เหรียญสหรัฐ อาจจะหาซื้ออาหารได้ 2 มื้อ ในหลายประเทศยากจนของเอเชียและแอฟริกา แต่ 1 เหรียญสหรัฐ อาจจะซื้อได้เพียงกาแฟเพียงครึ่งแก้วในสหรัฐเท่านั้น

ในด้านหนึ่ง หากพิจารณาแต่ตัวเลขของรายได้ อาจจะเห็นว่าความจนของคนอเมริกันอาจจะไม่ใช่ความยากจนอย่างแท้จริง ดังเช่นที่ประชากรโลกในภูมิภาคอื่นๆ กำลังประสบอยู่อย่างสาหัสสากรรจ์

ความจนในแบบสหรัฐ จึงเข้าข่ายเศรษฐีที่รวยน้อยลงเท่านั้น...!

แต่ทว่า ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่า สหรัฐเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปด้วยเม็ดเงินกับการใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ของระบบทุนนิยมโลก

ที่สหรัฐจะต้องพึ่งพาการใช้จ่ายของประชาชนเป็นสำคัญ โดยระบบเศรษฐกิจต้องการแรงขับเคลื่อนของการบริโภคของประชาชน ซึ่งคิดเป็นถึง 2 ใน 3 ของแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจทั้งหมดของสหรัฐทีเดียว

ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่ชาวอเมริกันในระดับยากจนที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นยิ่งหมายถึงอุปสรรคสำคัญที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐสะดุดลงกินเวลานาน อีกทั้งประชากรยากจนของสหรัฐกำลังจะถูกซ้ำเติมกับการตัดลดนโยบายสวัสดิการสังคมของภาครัฐที่กำลังเกิดขึ้น และจะตามมาอีกระลอกใหญ่ในช่วงหลายปีนี้

คนยากจนในประเทศหนึ่งอาจจะมีรายได้ไม่ถึง 1 เหรียญสหรัฐ แต่ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยการทำการเกษตร อยู่ในระบบเศรษฐกิจที่แทบจะไม่ต้องพึ่งเงิน

แต่คนยากจนในสหรัฐ อาจจะยังพอมีรายได้ต่อวันมากกว่าถึง 30 เท่าตัว แต่ไม่พอเหลือจ่ายหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน ค่าอาหาร และอาจจะต้องระเห็จไปนอนข้างถนน ตามสวนสาธารณะดังที่ปรากฏให้เห็นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งล่าสุดเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา

ดังที่หลายคนถึงกับบอกว่า สหรัฐกำลังชดใช้ให้กับชีวิตที่เคยฟุ่มเฟือยมาตลอดนั่นไง...!

 

Thailand Web Stat